ตอนที่ 14 งานพิธี

by thesolfaith

*ตึก ตึก ตึก*

“เดี๋ยวสิ ลูเซีย!! อย่าเพิ่งไป!”

“…” เจ้าหญิงเอมิลีค่อยๆ หันกลับมา “…เธอเป็นใคร?”

“อะ..อย่าทำเหมือนเราไม่รู้จักกันสิ! ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อจะมาทำในสิ่งที่รับปากกับเจ้าไว้ …ลูเซีย ข้าจะรักษาคำพูดทุกคำที่ให้ไว้กับเจ้า!”

“…?” เจ้าหญิงยืนมองนาวาอยู่ครู่หนึ่ง “เธอ.. เอ่อ.. เจ้า…สำเนียงเจ้าเหมือนมาจากไอออสนะ ..งานพิธีจะเริ่มแล้ว แขกจากไอออสควรจะอยู่กับพระราชาที่ห้องอาหารนะคะ”

“…” นาวาทำสีหน้าไม่พอใจนิดๆ “ถะ..ถ้าเจ้าจะโกรธข้าขนาดทำเป็นไม่รู้จักข้า ข้าก็จะไม่บ่นอะไร … ลูเซีย..เจ้าบอกว่าโกรธข้าที่ข้าให้ความหวังเจ้า แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าข้ายังไม่เคยผิดคำพูดอะไรที่ให้ไว้กับเจ้าเลย และก็ไม่คิดจะผิดด้วย”

เจ้าหญิงเอมิลีมองนาวาแบบงงๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามทำลายความเงียบในบรรยากาศ “…ทำไมเจ้าถึงรู้จักลูเซีย..?”

“…”

“ข้าไม่ใช่ลูเซียหรอกนะ …ข้าชื่อเอมิลี่ต่างหาก”

นาวายังคงไม่เชื่อในสิ่งที่เจ้าหญิงพูด แต่ก็ไม่ได้ค้านกลับไป “เอมิลี่..? เหมือนชื่อเจ้าหญิง… อ๊ะ! ถ้าเจ้าไม่ใช่ลูเซีย แล้วลูเซียอยู่ที่ไหนล่ะ!? ข้ามีความจำเป็นต้องพบลูเซีย!”

“…” เจ้าหญิงหลบตานาวา “… ข้าเกรงว่า เจ้าคงจะพบกับลูเซียไม่ได้..”

“ทำไมล่ะ!?” นาวาจ้องตาเจ้าหญิงด้วยดวงตาที่เหมือนจะลุกเป็นไฟของเขา “(จะว่าไป เธอคนนี้แม้จะเหมือนลูเซียมาก แต่..ดวงตา…ตาสีฟ้าเหมือนลูเซีย แต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกันนะ… หรือว่าจะไม่ใช่ลูเซียจริงๆ!?)”

“เจ้าเป็นคนนอก งานพิธีจะเริ่มแล้ว เจ้าไม่ควรเข้ามาในวังนะ …แล้วก็…”

“…แล้วก็..?”

“ตอนนี้ลูเซียเป็นนักโทษหนัก ..อะ..เอ่อ..จำคุกตลอดชีวิตน่ะ..” เจ้าหญิงตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดเล็กๆ

“!!!” นาวาอึ้งสุดๆ ได้แต่ยืนตาไม่กระพริบ “ทะ… ทำ… ทำไมล่ะ!? ทำไม!? แล้วตอนนี้ลูเซียเป็นอย่างไรบ้าง!?”

“…อีกไม่นานเธอจะถูกส่งตัวให้ไอออส …เจ้าคงไม่ได้พบลูเซียอีกแล้วล่ะ”

“… บ้าหน่า!? ลูเซียเนี่ยนะ!? ลูเซียไปทำอะไรผิดร้ายแรงขนาดนั้น!?” นาวาสับสนสุดๆ ในหัวของนาวามีแต่เสียงของลูเซียดังกึกก้องซ้ำไปซ้ำมา “(‘เจ้ารู้ไหมว่าการบอกเรื่องราวโลกนอกทวีปกับชาวเมมโมเรียลเป็นความผิดใหญ่หลวงขนาดไหน!?‘ๆๆๆ)”

*ตุบ* นาวาทรุดฮวบลงที่พื้น เริ่มมีน้ำตาไหลจากดวงตาของเขา

เจ้าหญิงมองด้วยความเห็นใจอยู่วินาทีหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นแววตาที่มุ่งมั่น “ข้าคงต้องรีบไปที่ขบวนรถแล้ว เจ้ารีบออกไปจากวังเถอะ ก่อนจะมีทหารมาจับเจ้าในข้อหาบุกรุก…”

“ฮืออ.. ฮืออ..” นาวาเริ่มร้องไห้ “(เพราะเรา!! เพราะเราแท้ๆ …เพราะเราไม่กล้าบอกความจริงแก่ลูเซีย …ทำให้ลูเซียเผยเรื่องนอกทวีปแก่เรา ฮืออ ฮืออ ลูเซีย…ข้าขอโทษ..)”

“…” เจ้าหญิงปล่อยให้นาวาร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มหันหลังก้าวเท้าเดินจากนาวา “…ลูเซียก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของข้า เจ้าร้องไห้ให้กับลูเซีย ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไร… แต่ก็รีบออกจากวังนี้ก่อนที่ทหารจะมาเจอละกันนะ พวกทหารคงจะไม่หยวนให้เจ้าเหมือนข้า…”

*ตึก ตึก ตึก* เจ้าหญิงทิ้งนาวาให้นั่งร่ำไห้อยู่ข้างหลัง แล้วมุ่งหน้าสู่งานพิธีที่กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ในใจครุ่นคิด “(พูดสำเนียงไอออส แต่ไม่รู้จักเรา…? คงเป็นคนจากจูปิรอส… แต่ทำไมเขาถึงรู้จักลูเซีย..!? …เอมิลีๆ! นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องไร้สาระนะ! จะให้ความพยายามของลูเซียสูญเปล่าไม่ได้!!)”

“..ฮึก.. ฮืออ…ฮืออ.. ข้าขอโทษลูเซีย ข้าขอโทษ” นาวานั่งหัวโขกพื้น มือหนึ่งได้แต่ทุบไปที่พื้นเพราะเจ็บใจตัวเอง

—♠♣♥♦—

12:37 นาฬิกา

ภายนอกกำแพงวังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กำแพงแถวๆ Library Complex

ดิลูชั่น! (Delusion)(สิ่งลวงตา)” *วิ้ง วิ้ง วิ้ง* หนึ่งในคนสามคนที่สวมเสื้อคลุมดำฮูดดำร่ายคาถาใส่ลูกแก้วที่ลอยอยู่รอบๆ

“แอร์ …มานาของข้ายังคงไม่ฟื้นฟูจากคืนก่อน ข้าคงทำได้แค่คาถาลวงตาใส่กล้องวงจรปิด.. คงจะช่วยเจ้ารบได้ไม่มากนัก”

“แค่นั้นก็พอแล้ว … หึหึหึ ข้าเตรียมรับมือกับสเวนเซอร์เรียบร้อยแล้ว หึหึ” แอร์ตอบด้วยความมั่นใจ

*ฟุบ* ชายที่มีรูปร่างเล็กที่สุด ลงนั่งขัดสมาธิ

แอร์หันมาทางชายที่นั่งขัดสมาธิ “อีกประมาณ 20 นาที งานก็จะเริ่ม เราจะอาศัยจังหวะตอนงานเริ่มหยุดระบบเคลโมเรียลของวัง แล้วคุณหนูก็รีบเข้าไปขโมยเดอะซอ…”

“รู้แล้วหน่า! จะทวนอีกกี่รอบกัน!” คุณหนูเมจิคัสตัดบท

“อะ.. เอ่อ…” ธีอาที่เพิ่งเสร็จจากการตรวจเชคว่ากล้องในลูกแก้วทุกตัวถูกคาถาลวงตาเรียบร้อยหมดแล้ว กำลังล้วงเอาอะไรสักอย่างในเสื้อคลุม “คุณหนู.. มาดูแผนที่พระราชวังนูทรอลเลียอีกครั้งกันก่อ…”

“เสียเวลาเปล่า! ข้าจำทุกอย่างได้หมดแล้ว” คุณหนูตัดบทด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดนิดๆ

“เอ่อ…” ธีอาหันมามองหน้าแอร์เพื่อนของเขา

“เอาหน่า.. คุณหนูมีความทรงจำภาพถ่าย เป็นเด็กอัจฉริยะอันดับหนึ่งของไอออส .. อย่าห่วงว่าคุณหนูจะพลาดเลย..” แอร์เดินมากระซิบที่หูของธีอา

“แต่.. นี่มันงานระดับโลก แล้วก็เป็นงานแรกของคุณหนูด้วย คุณหนูยังไม่เคย…”

“เอาหน่า ธีอา … รังแต่จะไปทำให้คุณหนูหงุดหงิดเปล่าๆ … แค่งานหมั้นนี้ก็ทำให้คุณหนูไม่พอใจมากพอแล้ว”

*วิ้ง วิ้ง วิ้ง* ทั้งสามตั้งสมาธิเงียบๆ ท่ามกลางลูกแก้วที่ถูกคาถาลวงตาปกคลุม ก่อนที่คุณหนูเมจิคัสจะลุกพรวดขึ้นยืนเหมือนอดกลั้นอะไรไม่อยู่

“เกรอลด์มันจะไปเหมาะกับเอมิลีได้ไง!! คู่ของเอมิลี่มันต้องเป็น เดบาซ เมจิคัส (Debaze Magicus) เด็กอัจฉริยะอันดับหนึ่งสิ!! ชิ! คิดแล้วน่าโมโหนัก! ไอออสพวกแกได้เจอดีแน่! ดันกล้ามาขัดใจข้า!!”

*ฟู้วว~ว* พลังของคุณหนูเมจิคัส หรือเดบาซนั้น ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับความโกรธจนแอร์และธีอาสำผัสได้

“ข้าคงกังวลไม่เป็นเรื่องจริงๆแหละ คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่คุณหนูจะพลาดงานนี้” ธีอากระซิบกับแอร์ด้วยความโล่งใจ

—›››—

12:49 นาฬิกา

ที่ด่านประตูหน้าพระราชวังนูทรอลเลีย ผู้คนมากมายกำลังเดินออกจากเคโมสเฟียของวัง ส่วนมากเป็นคนงานในวังเพราะงานพิธีจะเริ่มในอีก 11 นาที

*แซ่ด แซ่ด* นาวาเพิ่งเดินออกมาจากเคโมสเฟียของพระราชวังด้วยความช่วยเหลือของฟาลิออน

“ขอบคุณครับ คุณทหารไอออส”

“เฮ้ย.. เรียกพี่ฟาลิออนก็ได้ อายุและตำแหน่งเป็นเพียงแค่สายลม แหะๆ”

“…” นาวามีสีหน้าอมทุกข์ “พี่ฟาลิออนเคย.. ทำให้ใครบางคนต้องเจ็บ เพราะความขี้ขลาดโง่เขลาของตัวเองไหมครับ”

ฟาลิออนมองนาวาที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น “… เคยสิ”

นาวารีบเงยหน้าขึ้นมามองฟาลิออนในทันทีทันใด

“แล้วข้าก็จมอยู่กับความเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ” ฟาลิออนพูดขณะเอาแขนข้างหนึ่งกอดคอนาวา แล้วพาเดินออกห่างจากประตูทางเข้าวังเพื่อหลบคนมากมายที่จราจรอยู่แถวหน้าประตู “…วันหนึ่งข้ากำลังตรอมใจอยู่ที่โรงเหล้า ..เพื่อนรักของข้าโผล่มาจากไหนไม่รู้ แล้วคว้าแก้วเหล้าจากมือข้าโยนฟาดไปที่พื้น…”

“…”

“เพล้ง!” ฟาลิออนทำท่ามือประกอบ “‘เจ้าไม่มีวันเปลี่ยนอดีตได้! แทนที่จะเอาเวลามาเสียใจแบบนี้ ทำไมไม่มุ่งมั่นทำในสิ่งที่เจ้าสามารถทำให้เขาได้ล่ะ!? เจ้าทำเพื่อประเทศ เพื่อสังคม ก็เหมือนเป็นการทำสิ่งดีๆให้เขา!’ มันตะคอกแบบนั้นกับข้า …หึ”

“…”

ฟาลิออนวางมือบนหัวนาวา “ทำไมเจ้าไม่มุ่งมั่นทำในสิ่งที่เจ้าสามารถทำให้เขาได้ล่ะ นาวา?”

นาวาต่อสู้กับใจตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะพูดตอบด้วยสายตาที่เริ่มมีจุดหมาย “พี่… พาผมไปหาเดอะโซลเฟธทีนะครับ ได้โปรด”

“หึ ได้สิ” ฟาลิออนตอบ พร้อมมือยังวางบนหัวนาวา “รีลีซ!”

*เฟี้ยวว~ว ฟ้าวว* ฟาลิออนและนาวาเริ่มลอยขึ้น

“หะ..ห๊ะ..ห๊ะ!?” นาวาอุทานด้วยความตกใจ “พี่! ทำไมผมลอยขึ้นได้เองอะ!? เมื่อคืนผมเห็นทหารพลังลมต้องอุ้มทหารอีกคน!”

“เลเวลมันต่างกันน่ะ หึหึ” ฟาลิออนตอบ

*ฟิ้วว วีว~ว วีวว* ทั้งสองเริ่มบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างช้าๆ เพราะนาวานั้นลอยไม่เป็นเส้นตรง และกำลังตกใจที่ตัวเองสามารถบินได้โดยไม่มีใครมาช่วย

ทันทีที่นาวาเริ่มทรงตัวได้นิดๆ เขาก็เริ่มถามฟาลิออน “พี่รู้จักลูเซียไหม?”

“…” ฟาลิออนหันมามองนาวา ทำหน้าประหลาดใจ “รู้สิ”

“แล้วเอมิลี่ล่ะ รู้จักไหม?”

“เจ้าหญิงเอมิลี่น่ะเหรอ? ถ้าไม่ใช่พวกปิดกั้นสังคมที่จูปิรอส ก็คงไม่มีใครไม่รู้จักหรอก”

“ห๊ะ!? เจ้าหญิง!?” นาวาตกใจอีกครั้ง “(เออ! ที่เจอเมื่อกี้เธอแต่งชุดเหมือนเจ้าหญิงนิ!)”

“..?”

“ซวยแล้ว!! ผมดันไปพูดอะไรไม่รู้กับเจ้าหญิง ..แถมใช้ภาษาแบบคนปกติด้วย! ตายแน่เลย!!”

“หึหึหึ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” ฟาลิออนแอบฮา “ไม่ตายหรอก”

“จริงนะพี่? ผมจะไม่โดนจับไปขังนะ? พ่อผมจะปลอดภัยนะ?” นาวาถาม แล้วตั้งตารอคอยคำตอบอย่างกับว่าชีวิตขึ้นอยู่กับคำตอบนี้

“เอาหัวเป็นประกันเลย …เจ้าหญิงเขาไม่เคยว่าใครหรอก” ฟาลิออนยืนยัน “..ว่าแต่เจ้าถามถึงสองคนนี้ทำไมรึ?”

“สองคน..? เอ่อ…ผมนึกว่าเป็นคนคนเดียวกันน่ะสิ เลยพูดกับเจ้าหญิงเชิงแบบว่า ..ไม่เคารพอ่ะ…ก็ผมไม่เคยดูข่าว ไม่เคยตั้งใจดูรูปเจ้าหญิงที่ติดตามที่ต่างๆ… ความไม่ใส่ใจเกือบทำซวยแล้วไหมล่ะ!” นาวาโขกหัวตัวเองด้วยมือขวา

“มีรูปเจ้าหญิงติดเต็มเมืองแต่กลับไม่รู้หน้าตาเจ้าหญิง ..จะมีใครไม่ใส่ใจได้ถึงขนาดนั้นเร้อ?” ฟาลิออนประชดนิดๆ เพราะเขาเชื่อว่านาวามาจากจูปิรอส แต่ปิดเขาโดยบอกว่าเป็นเมมโมเรียล

“(‘… เรากลัวตัวเองจะทนไม่ได้ …กลัวว่ายิ่งเห็น ก็จะยิ่งปรารถนา ยิ่งถ้าได้เห็นภาพในหนังสือ ในทีวี แล้วในชีวิตไม่มีโอกาสได้เห็น ได้สัมผัส… กลัวว่ามันจะน่าเศร้าเกินไป..‘)” นาวานึกถึงคำพูดของตัวเองที่พูดไว้กับคาห์เนิร์ลบนรถไฟ แล้วทอดสายตาไปที่บ้านเรือนด้านล่าง ก่อนจะตอบฟาลิออนด้วยคำพูดที่เหมือนตั้งใจจะพูดกับตัวเขาเอง “..นั่นสินะ… ใครจะไปเชื่อว่าจะมีคนที่ไม่สนใจอะไรขนาดนั้น.. หึ สมควรแล้ว…”

*เฟี้ยวว* ทั้งสองเริ่มบินไวขึ้น เพราะนาวาเริ่มคล่องขึ้น

“เอมิลี่ ..ลูเซีย…จริงๆ แล้วสองคนนี้ต่างกันมากนะ ถ้าเจ้าได้รู้จักทั้งคู่จริงๆ” ฟาลิออนจู่ๆก็พูดขึ้น แววตาของเขานั้นแอบมีความเศร้าอยู่ภายใน “เจ้าหญิงเป็นเหมือนหุ่นให้ไอออสชักใย แต่ลูเซียเป็นไท …เจ้าหญิงยอมคนอื่นเสมอเพราะกลัวความขัดแย้ง แต่ลูเซียไม่ยอมใครหากผู้นั้นทำร้ายประเทศของเธอ …เจ้าหญิงเป็นเจ้าหญิงที่แสนดีที่ทุกคนรู้จัก …แต่ลูเซียเป็นแค่เงาของเจ้าหญิง คอยทำงานในความมืดอย่างลับๆ…”

“..!?” นาวาหันมามองฟาลิออน ตั้งใจฟังสิ่งที่เขากำลังพูด

“แต่ลึกๆแล้วทั้งสองคนมีความเชื่อเหมือนกันนะ… เจ้าหญิงเองลึกๆแล้วก็ไม่ยอมใครหากมีคนมาทำร้ายประเทศของเธอ .. เลยมีลูเซียเป็นมือที่คอยต่อต้านแทนเธอ… จริงๆ ข้าไม่ควรบอกเจ้าเรื่องนี้นะ… แต่..ข้าสงสารเขาทั้งคู่ …ก็ปัญหาเรื่องเดอะโซลเฟธนี่แหละที่มันคาใจข้า… ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้เจ้าชิงมันไป สองคนนั้นจะได้ไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ …อยู่ๆก็เลยมาช่วยเจ้าเฉยเลย ฮ่ะฮ่ะ— …ข้านี่มันโลเลจริงๆ…”

นาวามองฟาลิออนที่แสดงอารมณ์ลึกๆในใจออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก ซึ่งนาวาก็ไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้สนใจอยากรู้อยากเข้าใจอะไร เพราะในวินาทีนั้นนาวาแสดงความมุ่งมั่่นออกมาอย่างเต็มเปี่ยมผ่านทางสายตาคู่นั้นของเขา “ขอบคุณครับพี่ ผมจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังเลย!”

ทั้งสองบินมุ่งหน้าไปทางอีสท์เกท ระหว่างทางฟาลิออนได้แต่คิดในใจ

“(แบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว… ลูเซีย..ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าหายไป…)”

—«¤»—

“*ตี๊ดด* ขบวนพิธีกำลังจะเริ่มออกจากพระราชวัง ขบวนรถจะเดินทางผ่าน Processional Way สู่ลานน้ำพุ ขอให้ทุกท่านที่อยู่ริมทางยืนหลังเส้นที่กำหนด” สเวนเซอร์ประกาศด้วยเครื่องสื่อสารหลังขบวน ก่อนจะส่งไมโครโฟนคืนให้ทหารแว่นที่นั่งอยู่ข้างๆ  แล้วหันหลังมามองเห็นพระราชาและคนสำคัญกำลังเดินมุ่งหน้ามาที่รถ ก็รีบเดินลงบันไดที่วางไว้ท้ายรถลงมาคุกเข่าข้างๆ บันได “ฝ่าบาท องค์หญิง องค์ชายเกรอลด์ เชิญทุกท่านจากไอออสขึ้นรถด้วยขอรับ”

*เฮ! เฮ!*

ขบวนรถเริ่มออกเดินทาง เสียงโห่ร้องของประชาชนดังสนั่นเคโมสเฟีย

บนรถนั้นเรียงตั้งแต่หน้ารถ แถวแรกมีเจ้าชายเกรอลด์กับเจ้าหญิงเอมิลี่นั่งโบกมืออยู่ ถัดมาเป็นพระราชาและนายกของมหานครโพเลสตาร์ และถัดมาเป็นคนสำคัญจากไอออสเรียงไปจนถึงจอมอนิเตอร์ที่กั้นเหล่าคนสำคัญจากเหล่าทหาร 5-6 นายด้านหลัง

สองข้างทางของ Processional Way เต็มไปด้วยผู้คนโบกธงสีทองขาว ซึ่งเป็นสีของนครนูทรอลเลีย นอกจากธงแล้วคนส่วนมากยังชูตะเกียงพลังเอเลเมนท์ไฟ ที่เป็นตะเกียงสีทองแกะสลักลวดลายของราชวงศ์แอมิที ครอบด้วยแก้วเพื่อกันคนไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากพลังไฟ เป็นตะเกียงที่สามารถเติมพลังไฟได้เองหากเอามันไปอยู่ใกล้ๆเปลวไฟ

*เฮ! เฮ!*

ความหมายของธงและตะเกียงคือ สีทองหมายถึงความรุ่งเรือง สีขาวหมายถึงสันติ ตะเกียงหมายถึงแสงสว่าง และพลังเอเลเมนท์ไฟคือพลังธาตุของพระราชินีผู้เป็นคนสถาปณานูทรอลเลียและอาณาจักรมิดมาเรีย

*ตู๊ดด ตู๊ดด* *แกร๊ก* “หน่วยขบวนรถ … โอเค … รับทราบ” *แกร๊ก* ทหารแว่นหันมาหาสเวนเซอร์ทันทีที่วางไมค์ลง “ท่านสเวนเซอร์!! ที่หน่วยพระราชวัง ตอนนี้เคลโมเรียนที่วังหยุดทำงานมาพักหนึ่งแล้วขอรับ น่าจะเป็นสกิลแฮค (Hack) ของวันเดอเรอร์ขอรับ”

“ฉันจะไปดูเอง” *เคร้ง เคร้ง* สเวนเซอร์กระโดดตีลังกาลงจากรถขบวนแบบสุดเท่ แล้วรีบออกวิ่งกลับไปที่วัง

*เฮ! เฮ! เฮ!*

เสียงคนโห่ร้องยิ่งดังเข้าไปใหญ่ เพราะนึกว่าองครักษ์กำลังแสดงโชว์

—♠♣♥♦—

*ก๊อก ก๊อก ก๊อก* ฟาลิออนเคาะประตูบ้านต้นไม้หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างอิสท์เกทกับลานน้ำพุ

“พวกเขาเอาเดอะโซลเฟธมา ทำไมไม่รีบหนีออกจากเมืองละครับ? ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านหลังนี้?” นาวาเอ่ยถามขณะทั้งสองรอให้คนมาเปิดประตู

“หลังเที่ยงจนถึงหกโมงเย็นเคโมสเฟียปิดไม่ให้ใครเข้าออกไง เจ้านี่ไม่สนใจคำประกาศเลยรึไง”

“อ่า..”

*แกร๊ก แอ๊ด* “นี่มันบ้านพักนะคุณ! จะมารบกวนอะไร!?” ชายวัยกลางคนเปิดประตูมาบ่นเสียงดังใส่หน้าฟาลิออนและนาวา

ฟาลิออน ฮันเตอร์ (Fallion Hunter)” ฟาลิออนตอบกลับไป พร้อมชูบัตรไอออสให้ชายคนนั้นดู

“อะ…เอ่อ.. มะ..แหม…เป็นท่านฟาลิออนก็ไม่บอก” ชายคนนั้นรีบเปลี่ยนมาเป็นคนอ่อนน้อมในทันที

“ไปตามจิม และเจนาเรียให้ข้าทีนะ แล้วบอกให้เจนาเรียเอาไวโอลินมาด้วย”

“คะ..ครับ”

*ปัง*

“วะ..ว้าว! พี่ฟาลิออนนี่ก็ดังใช่ย่อยนะครับ” นาวาเอ่ยเชิงหยอกๆ

“แต่ก็ยังดังไม่พอให้เจ้ารู้จักอยู่ดี หึหึ” ฟาลิออนหยอกคืน

*แอ๊ดด*

“ทะ..ท่านฟาลิออนมีธุระอะไรหรือขอรับ?” จิมถามหลังจากเปิดประตูออกมา มีเจนาเรียยืนอยู่ข้างๆ

“เอาแบบสั้นๆ เลยนะ” ฟาลิออนพูดด้วยสายตาที่บอกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น “ข้ามาเอาเดอะโซลเฟธ”

“!!” จิมพยายามเก็บอารมณ์ตกใจไว้ ก่อนจะถามต่อ “อะ..เอ่อ..เป็นรับสั่งเจ้าหญิง??”

“เปล่า เป็นการกระทำของข้าเอง”

จิมมองตากับเจนาเรียครู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองนาวาที่ยืนอยู่ข้างๆฟาลิออนด้วยความประหลาดใจ

“นะ..นี่ นาย!” เจนาเรียทักขึ้น เพราะจำนาวาได้

จิมขยับมาใกล้ๆฟาลิออน ก่อนกระซิบว่า “เอ่อ.. เราไปคุยกันด้านนอกดีกว่านะขอรับ เพื่อนผมที่เป็นเจ้าของบ้านนี้เขาไม่รู้เรื่องเดอะโซลเฟธ”

“โอเค” ฟาลิออนตอบแล้วเดินนำไปทางด้านหลังของตัวบ้าน จิมเริ่มเดินตาม

“อะ..เอ่อ…”

ฟาลิออนและนาวาหยุดเดิน แล้วหันมามองเจนาเรียที่ส่งเสียงเหมือนจะพูดอะไร

“จะ…เจนขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนแปปนึงนะคะ แล้วจะตามไป”

“ดีเลย! ผมก็อยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน!” นาวารีบเอ่ยด้วยอย่างโล่งใจ

“งั้นพวกเราจะไปรอด้านหลังละกัน” พูดโดยจิม

ฟาลิออนเดินกลับมาหานาวาแล้วกระซิบเบาๆ “ในกล่องไวโอลินสีดำที่เจนาเรียถือนั่นแหละเดอะโซลเฟธ .. อย่าให้คลาดสายตานะ”

นาวาพยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะตามเจนาเรียเข้าไปในบ้าน

*ปัง*

จิมและฟาลิออนค่อยๆทอดน่องเดิน ก่อนที่จิมจะเริ่มพูด “ผมไม่เคยเชื่อในไอออส…”

“…?” ฟาลิออนหันมามองจิมขณะที่ทั้งสองยังเดินอยู่

“ไอออสไม่สนใจจะแก้ข่าวบิดเบือนเรื่องพระราชินี แล้วยังมาบังคับให้เจ้าหญิงหมั้นอีก ทำทุกอย่างโดยใช้ความถูกต้องและสันติเป็นข้ออ้าง ..”

“หึหึหึ” ฟาลิออนขำเล็กน้อย แต่ยังตั้งใจฟังที่จิมพูด

จิมเริ่มส่งเสียงดังขึ้น “ผมเชื่อว่าท่านกับท่านยอห์นไม่เหมือนพวกทุจริตในไอออส .. แต่ตามสัญญาสันติก็บอกไว้แล้วว่าเดอะโซลเฟธกลายมาเป็นสมบัติของนูทรอลเลีย และพวกท่านไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับเดอะโซลเฟธอีก!”

ทั้งสองเดินไปถึงซอยกว้างหลังบ้าน ก่อนที่ฟาลิออนจะจ้องมองตาของจิมแบบเลิกเป็นมิตร “เจ้ามีอะไรในใจก็พูดมาตรงๆเลยจิม อย่าอ้อมค้อม…”

จิมดีดตัวกระโดดไปข้างหลังเพื่อทิ้งระยะห่างจากฟาลิออน แล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมทำตามแต่คำสั่งของนูทรอลเลียเท่านั้น! ตอนนี้องค์หญิงทรงมอบเดอะโซลเฟธให้เจนาเรีย ถ้าท่านจะเอามันไปก็ต้องข้ามศพผมไปก่อน!”

“ดี!” ฟาลิออนยิ้มให้จิม “ข้ากำลังหนักใจเลยว่าควรจะทำยังไงดี ..เรื่องเดอะโซลเฟธนั้นปล่อยให้เด็กสองคนนั้นแย่งกันเองแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน! ข้าคิดอยากประมือกับเจ้ามานานแล้ว จิม!”

“โปรดอย่าออมมือ ท่านฟาลิออน”

“รีลีซ!!!”

“รีลีซ!”

*ซ่าา แอ๊ด*

“เฮ้อ~ โล่ง …อั้นมาตั้งนาน เกือบแล้วไหมล่ะ! ตอนลอยขึ้นฟ้า.. คนยิ่งกลัวความสูงอยู่ด้วย” นาวาพูดไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะยืนอึ้งกิมกี่ที่ออกจากห้องน้ำมาแล้วไม่เห็นเจนาเรีย “(พี่ฟาลิออนบอกว่าอย่าให้คลาดสายตา! ซวยแล้ว!)”

*ตึก ตึก ตึก แอ๊ด ปัง*

นาวาวิ่งออกมาจากบ้านแล้วรีบหันมองซ้ายขวาคอแทบเคล็ด เห็นหลังเจนาเรียไวๆ ทางทิศตะวันตก

“อย่าหนีนะเฟ้ย!!”

—«¤»—

เวลา 1:14 น.

*เฟี้ยวว~ว* ร่างของเดบาซบินเพิ่งลอดออกมาจากรูตรงกำแพงพระราชวังแถวหอสมุด

แคลเซิล (Cancel)(ยกเลิก) แฮค!” แอร์คลายสกิลที่หยุดระบบเคลโมเรียนทันทีที่เดบาซลอดออกมาทั้งตัว

“ทุกอย่างราบรื่นใช่ไหมคุณหนู” ธีอาเอ่ยถาม

“ไม่มี!” เดบาซพูดใส่อารมณ์ผ่านผ้าปิดปาก “ต้องมีคนรู้ทันแผนนี้แน่ๆ เลยชิงดาบไปก่อน”

“ยอห์น เคลโมเรียน?”

“ไม่หรอกธีอา” แอร์ตอบเชิงวิเคราะห์ “ถ้าจะมีใครจริงๆก็น่าจะเป็นพวกโครนอสมากกว่า แต่ก็มีความเป็นไปได้ด้วยว่าพวกนูทรอลเลียรู้ทัน เลยพาหนีไปก่อน”

*พับ พับ พับ* ทั้งสามมองขึ้นฟ้า เห็นอีรอสกำลังยืนตีปีกสีขาวบริสุทธิ์ของเขาอยู่ด้านนอกเคโมสเฟีย ดูแล้วเหมือนเทวดากำลังยืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า

*ซูมม* เดบาซรีบบินพุ่งขึ้นไปหา จนตัวเขาชนกับเพดานเคโมสเฟีย “ท่านอีรอส! มีคนชิงเดอะโซลเฟธไปก่อนแล้ว!”

อีรอสทำเหมือนไม่สนใจ ก่อนจะก้มลงมองเดบาซใต้เท้าของเขาด้วยสายตาดูถูกดูแคลน “เข็มทิศที่ข้าให้เจ้าเมื่อคืน …มันจะนำทางเจ้าไปหาเดอะโซลเฟธ”

เดบาซรีบควานหาเข็มทิศในเสื้อคลุม แล้วคว้าออกมาถือดูใกล้ๆ “มันเป็นแค่ลูกบอลใสๆ ไม่มีอะไรข้างใน!!”

อีรอสแสยะยิ้ม แล้วกระซิบเบาๆ “รีลีซ”

*หวูว หวูว* รูปหัวใจสีดำปรากฎขึ้นภายในลูกบอลนั้น โดยมีส่วนแหลมของหัวใจชี้ไปทางตะวันออกเฉียงใต้

เดบาซที่เป็นอัจฉริยะนั้นรู้ทันทีว่าต้องตามส่วนแหลมของหัวใจไป จึงรีบออกบินไปทางนั้นตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่หัวใจปรากฎขึ้น

“หึหึหึ” เสียงหัวเราะของอีรอสดังขึ้น “สวัสดี เดอะเลกะซีส์ทั้งแปด…’แล้วโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง‘ ..ใช่แล้ว! เปลี่ยนแปลงไปเป็นโลกแห่งความมืดและเสียงกรีดร้องโหยหวนยังไงล่ะ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่าฮ่าฮ่า”

*เคร้ง เคร้ง เคร้ง* ที่ด่านล่างนั้น สเวนเซอร์กำลังวิ่งเลาะกำแพงด้านนอกวังด้วยความเร็วสูง ตรงไปที่ที่แอร์และธีอาอยู่

“(เดอะโซลเฟธไม่อยู่ในห้องเก็บ … มีคนใช้คาถาแฮคหยุดเคลโมเรียน … ที่เดียวที่สามารถแอบเจาะกำแพงล่วงหน้าได้ คือตรงหอสมุดที่ปกติมีคนเข้าออกมากมาย …)”

*พรืด เคร้ง เอี๊ยยดดด* สเวนเซอร์เบรคตัวเองด้วยร้องเท้าเกราะไลท์สโตน และสไลด์มาหยุดตรงหน้าแอร์และธีอา ควันที่เกิดจากการเสียดสีของพื้นหินกับรองเท้าเกราะลอยฟุ้งรอบสเวนเซอร์

แอร์และธีอาได้ยินเสียงจึงหันมามองตามเสียง พร้อมทั้งเอามือขึ้นมาคาดผ้าปิดปากขณะหันมา

ควันค่อยๆจาง เห็นร่างใหญ่ๆของสเวนเซอร์ยืนตั้งท่าพร้อมสู้ สองมือถือดาบใหญ่ยักษ์ของเขา สายตาจ้องมองยังกับจะกินเลือดกินเนื้อ “เดอะโซลเฟธอยู่ไหน!!?”

“แอร์ ข้ายังพอมีมานา…” เสียงธีอาผ่านออกมาจากผ้าปิดปากของเขา

“ไม่ต้อง! ข้าเตรียมตัวมาพร้อม … สเวนเซอร์ไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้แสดงว่ามีพวกอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย เจ้ารีบตามไปช่วยคุณหนูเถอะ”

*ตึก ตึก ตึก* ธีอาเริ่มออกวิ่งตรงดิ่งไปที่สเวนเซอร์ เพราะเป็นทางที่เดบาซบินไป

ชาร์จ! (Charge)(พุ่งโจมตี)” ร่างของสเวนเซอร์พุ่งมาหาธีอาด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ สองมือสวิงดาบฟาดลง เล็งไปที่กลางหัวของธีอา

ออร์บิทอลชีลด์! (Orbital Shield)(โล่ที่หมุนรอบตัว)

*เปรี้ยงง!!! ตูมมม!!*

ธีอาวิ่งผ่านสเวนเซอร์หายไปได้อย่างปลอดภัย

แอร์กระโดดเข้ามารับดาบของสเวนเซอร์ด้วยเพชรที่หมุนอยู่รอบตัวเขา ร่างกายของแอร์กลายเป็นจุดศูนย์กลางที่มีเพชรขนาดใหญ่ 8 เม็ดโคจรอยู่รอบๆ

“เพชร!? พวกแกมีเงินถึงขนาดออร์บิทอลชีลด์ด้วยเพชรเลยรึ!?”

แอร์ไม่ตอบอะไร แต่คว้าด้ามดาบออกมาจากเสื้อคลุม “รีลีซ!!”

*ชว้างง* แสงเลเซอร์สีแดงพุ่งออกมาจากด้ามดาบนั้น กลายเป็นดาบเลเซอร์

สเวนเซอร์กรอกสายตามองดูรอบๆตัวเขา เห็นรูที่กำแพงข้างๆชายปริศนาที่คลุมตัวเองด้วยเสื้อคลุมดำอยู่กลางสายตา รอบๆเห็นต้นไม้ถูกเผาตายหมด “..!!”

“หึหึ เพิ่งรู้ตัวสินะ สเวนเซอร์..” แอร์พูดผ่านผ้าปิดปากของเขา “..พื้นหินของนูทรอลเลียที่เจ้าจะทำพังไม่ได้ ต้นไม้รอบๆก็ไม่มี ทีนี้เจ้าก็รีลีซพลังดินของเจ้าไม่ได้ ..บวกกับออร์บิทอลชีลด์เพชร.. หึหึ ในที่สุดวันที่ข้าจะปราบไนท์(Knight)(อัศวิน)ชื่อดังของโลกก็มาถึงจนได้!”

*กืดด* สเวนเซอร์กำดาบของเขาแน่นจนเห็นกล้ามเนื้อเกร็งที่แขนสองข้าง

—♠♣♥♦—

*เฮ! เฮ!*

ขบวนรถเพิ่งเคลื่อนที่มาจอดที่ลานน้ำพุที่มีผู้คนเต็มไปหมด มีทั้งคนบนหลังคาบ้านรอบๆ และคนบนเรือเหาะที่ผูกสมอกับบ้านเรือนแถวลานน้ำพุ ผู้คนร้องเพลงประสานเสียงกันอย่างมีความสุข ต่างโบกธงและตะเกียงไฟไปมาด้วยความตื่นเต้น เพราะอาณาจักรไม่เคยมีงานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน

“พ่อ แม่ ทำไมเราไม่ซื้อตะเกียงมาโบกมั่งอ่ะ?” เสียงคาห์เนิร์ลดังขึ้นท่ามกลางเสียงร้องเพลงของผู้คนรอบข้าง

“แพง! ไม่มีเงินหรอก” มิสซิสไวทีก้าตอบลูกชายสั้นๆ

“แต่.. มันเป็นของที่ระลึกกลับบ้านได้ด้วยนะแม่! ..มาทั้งที .. ใช่ว่างานพีธีแบบนี้จะมีอีกในช่วงชีวิตเรา”

“ไม่!”

“หน่าซื้อให้ลูกมันได้เอาไปอวดเพื่อนหน่อยเถอะ” มิสเตอร์ไวทีก้าพูดช่วยลูกชาย

“2000 โฮลเชียวนะ …!” มิสซิสไวทีก้าหันหน้ามาคุยกับสามีเธอ “งั้นพ่อก็ไปซื้อกับคาห์นเองละกัน .. แม่กับคาร์เนียจะรออยู่ตรงนี้แหละ ขี้เกียจเบียดคนออกไปรอบนอก”

“เย้!”

“ปะๆ รีบไปซื้อจะได้กลับมาฟังพระราชดำรัสทัน” มิสเตอร์ไวทีก้าพูดพลางคว้ามือลูกชายออกเดินเบียดคนไปทางทิศใต้

จุดขายของนั้นตั้งอยู่รอบๆลานน้ำพุ ไกลมีรัศมีจากลานน้ำพุประมาณกิโลกว่าๆ  เพราะครอบครัวไวทีก้ายืนอยู่ตรงส่วนใต้ของลานน้ำพุ สองพ่อลูกจึงมุ่งไปทางใต้เพื่อไปแผงขายที่ใกล้ที่สุด

—›››—

*ตึก ตึก ตึก ตึก* นาวาและเจนาเรียวิ่งไล่กันมาจนเกือบถึงจุดขายของทางตะวันออกของลานน้ำพุ

แฮ่ก แฮ่ก หยุดหนีสักทีเซ่!!” นาวาตะโกน

“ไม่! แฮ่ก แฮ่ก นายนั่นแหละ แฮ่ก แฮ่ก ไม่งั้นฉันตะโกนขโมยนะ!”

นาวาที่วิ่งกระชั้นชิดใกล้เจนาเรียเต็มที เอื้อมมือไปคว้าเสื้อของเจนาเรียได้ แต่เจนาเรียวิ่งแทรกเข้าไปในฝูงคนที่เริ่มจับตัวอยู่ข้างหน้า

*พลั่ก* นาวาที่ตัวใหญ่กว่าเจนาเรียชนกับคนเพราะไม่สามารถลอดช่องที่เจนาเรียลอดไปได้

“บ้าที่สุด!!” นาวาบ่นขณะแทรกคนตามเจนาเรียที่เริ่มทิ้งระยะห่างนาวา

*เฮ! เฮ!*

เสียงผู้คนเริ่มดังขึ้นเพราะทั้งสองคนเริ่มไล่กันเข้าไปในลานน้ำพุ

“บ้าที่สุด! ถ้าไม่มีคนพวกนี้ก็คงไล่ทันแล้ว!”

นาวาแทรกตัวตามเจนาเรียไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

—›››—

วันนี้ที่ลานน้ำพุไม่มีน้ำพุแต่อย่างใด มีแต่ไมโครโฟนบนขาตั้งอยู่กลางลาน และมีเก้าอี้สีทอง 20-30 ตัวที่แขกคนสำคัญจากไอออสเริ่มเดินลงจากขบวนรถเพื่อจะมานั่ง

เพราะขบวนรถกลับลำก่อนจอดเลยหันท้ายรถไปที่ลานน้ำพุทำให้เจ้าหญิงเดินลงมาเป็นคนสุดท้าย

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างคะ?” เจ้าหญิงเอ่ยถามทหารข้างบันไดลงรถ

“อะ..อ่า… สงบเรียบร้อยดีพะยะค่ะองค์หญิง… ขอองค์หญิงวางพระทัยได้พะยะค่ะ..” ทหารนายนั้นตอบ

เจ้าหญิงเอมิลี่ขมวดคิ้วทำหน้าเชิงไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก ก่อนจะออกเดินไปนั่งที่เก้าอี้บนลานน้ำพุเป็นคนสุดท้าย

ทหารนายนั้นเดินมาหาทหารแว่นที่กำลังมองภาพจากกล้องวงจรปิดที่จอมอนิเตอร์ตาแทบไม่กระพริบ “เป็นไงบ้างแว่น?”

“มึนน่ะสิถามได้!” ทหารแว่นตอบ “นี่ขนาดดูแค่กล้องที่ลานน้ำพุนะเนี่ย … คนเป็นแสนๆ ให้เราดูอยู่คนเดียว! มานาจะหมดแล้วเนี่ย!”

“เอาหน่า ถือว่าสู้เพื่ออาณาจักร … แต่…สังหรณ์ไม่ดีเลยแหะ… ท่านสเวนเซอร์ก็ติดต่อไม่ได้หลังจากมีรายงานว่าเดอะโซลเฟธหายไป”

—›››—

*เฟี้ยวว* *หมับ* เสียงคนบินมาคว้ากระเป๋าไวโอลินจากมือของเจนาเรียต่อหน้าต่อตานาวา

เจนาเรียตกใจสุดๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากกระเป๋าทำให้โดนลากตามไป “โอ้ย!! โอ้ยย!่”

คนที่บินมานั้นก็คือเดบาซที่อยู่ในเสื้อคลุมดำผ้าปิดปาก เขากำลังบินเหนือหัวของผู้คนไม่กี่เซนติเมตร เพราะถ้าบินสูงกว่านี้อาจเตะตาคนได้ แล้วเริ่มบินช้าลงเรื่อยๆเพราะมีเจนาเรียคอยดึงต้านไว้

นาวาเห็นอย่างงั้นจึงรีบพยายามแทรกคนตามมาแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทั้งสามไล่กันไปจนเกือบถึงจุดขายของทางทิศใต้ โดยที่นาวาเริ่มไล่กระชั้นเข้ามาทุกที

“พี่ แฮ่ก แฮ่ก ช่วยโยนผมไปทางคนที่ลอยอยู่ทีสิ ผมอยากเป็นซูเปอร์แมน!” นาวาตะโกนไปที่ชายนักกล้ามคนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า

ชายนักกล้ามยอมเล่นด้วย จับนาวายกขึ้นแล้วโยนเล็งไปที่เดบาซ

“ว๊ากก!!” *หมับ* นาวาลอยมาคว้าขาข้างหนึ่งของเดบาซ “แฮ่ก ดีนะที่ฝึกลอยกับพี่ฟาลิออนมาก่อน!”

*เฟี้ยวว* “เดบาซไม่สามารถทำอะไรท่ามกลางคนมากมายได้ จึงพยายามใช้พลังมากขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็วในการบิน หวังจะสลัดเจนาเรียและนาวาให้หลุด

“โอ้ยยย!!” เจนาเรียร้องด้วยความเจ็บ เพราะแขนของเธอตึงสุดๆจากการถูกลาก

“ใครก็ได้จับหัวขโมยนี่ที!!” นาวาร้องเสียงดังพลางใช้มืออีกข้างชี้ไปที่เดบาซที่เขาคว้าข้อเท้าอยู่ “ใครก็ได้!!”

“ห๊ะ!? เสียงนั่น…?” คาห์เนิร์ลที่อยู่แถวนั้นพอดีได้ยินเสียงนาวาแว่วๆ จึงรีบมองหารอบๆ แล้วหันหลังไปเห็นนาวากับคนในเสื้อคลุมกำลังลอยตรงมาทางเขาด้วยความเร็ว “(นาวา!? …นายกำลังทำบ้าอะไรอยู่ล่ะนั่น!?)”

“ใครก็ได้หยุดไอ้หัวขโมยนี่ที!!”

“(หัวขโมย..? นาวาชี้ไปที่ชายชุดดำที่เขาจับอยู่…)” คาห์เนิร์ลประมวลผลในใจ แล้วออกวิ่งนำหน้าไปทางใต้ “พ่อ! ไว้กลับไปเจอกันตรงที่แม่กับคาร์เนียอยู่ละกันนะ ผมมีธุระ!”

“ดะ..เดี๋ยวสิ คาห์น!” มิสเตอร์ไวทีก้าเป็นผู้ใหญ่เลยไม่สามารถแทรกเบียดคนตามคาห์เนิร์ลได้ทัน

“(ลอยอยู่.. พลังลม… ลมแพ้ไฟ.. ไฟ… ตะเกียงไฟ!!)” คาห์เนิร์ลคำนวณในใจด้วยความรู้ทั้งหมดที่มี ความรู้ที่เขาเฝ้าศึกษามาโดยมักจะถูกคนรอบข้างล้อว่าสนใจอะไรไร้สาระ

*หมับ* วินาทีนั้นในสมองของคาห์เนิร์ลมีแต่อะดีนารีนเท่านั้น เขารีบพุ่งไปคว้าตะเกียงไฟที่ใกล้ตาเขามากที่สุด อีกมือดึงฝาครอบตะเกียงออกด้วยสุดแรงเกิด แล้วกระโดดหันหลังชูตะเกียงขึ้นไปโดนสายลมที่ม้วนพันรอบตัวเดบาซที่วินาทีนั้นบินมาอยู่เหนือคาห์เนิร์ลพอดิบพอดี

*วูวว วูบบ* สายลมคลายตัวทันทีที่ถูกไฟ ทำให้เดบาซและนาวาลอยดิ่งลงพื้นด้วยความเร็ว ผู้คนรอบๆต่างวิ่งหลบเปิดทางให้ ตรงจุดนั้นเป็นจุดรอบนอกลานน้ำพุ เลยมีคนไม่แน่นมาก

*พรืดดด ครืดดด* เดบาซและนาวาตกลงมา แล้วสไลด์ไปกับพื้น มือเดบาซหลุดจากกระเป๋าทำให้เจนาเรียได้ถือกระเป๋าคนเดียว แต่เธอก็ต้องล้มลงตามแรงที่เดบาซดึงเจนาเรียมาก่อนจะปล่อยมือ

แฮ่ก แฮ่ก โอ้ยย!” เจนาเรียล้มลงนอนคว่ำ เธอค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้น เปลี่ยนมาใช้มือข้างที่ไม่ระบมถือกระเป๋าแทน

*พรืด..ด* นาวาและเดบาซเริ่มหยุดไถลกับพื้น

“นาวา!!” คาห์เนิร์ลแทรกคนผ่านมายืนข้างๆเจนาเรีย มองดูนาวาด้วยความตกใจ

*หมับ* *ควับ* ทันใดนั้นก็มีสองมือมาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของคาห์เนิร์ลแล้วหมุนตัวคาห์เนิร์ลให้หันมาทางเจ้าของมือคู่นั้น “นี่นาย!! มาขโมยตะเกียงของแม่ฉันแบบนี้ได้ไง!!”

“…!!” คาห์เนิร์ลตกใจเมื่อมองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา “ธะ…เธอ..เธอคนนั้น ..ที่ฉันมีเรื่องด้วย บนรถไฟใต้ดิน!!!”

“นะ..นี่นาย!! นายคนที่แกว่งดาบมั่วซั่วมาโดนฉันนิ!!”

“เธอมีอะไรกับฉันอีกเนี่ย!? คนกำลังยุ่งอยู่นะเฟ้ย!” คาห์เนิร์ลทำท่าจะหันหลังกลับไปทางนาวาแต่ถูกหยุดไว้

“ชดใช้ค่าตะเกียงนั่นมานะ!!”

คาห์เนิร์ลมองตามที่เด็กหญิงคนนั้นชี้มา แล้วเห็นว่ามือของเขากำลังถือตะเกียงที่ฝาครอบพังอยู่ “แว๊กกก!! ตูไปขโมยตะเกียงเขามาทำพังตั้งแต่เมื่อไรฟะเนี่ย!!?”