ตอนที่ 13 ความมุ่งมั่น

by thesolfaith

*ก๊อก ก๊อก ก๊อก* “องค์หญิงเพคะ เจนเข้าไปได้ไหมเพคะ?”

“เข้ามาสิเจนา”

*แอ๊ด* เจนาเรียเดินเข้ามาในห้องบรรทมของเจ้าหญิง ตามองหาไม่เห็นเจ้าหญิงอยู่ในห้องจึงมองไปด้านขวามือ เห็นเจ้าหญิงกำลังใส่ต้มหูอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ “วันนี้องค์หญิงของเจนงามมากเพคะ”

“อย่าชมเลย…” เจ้าหญิงหันมาสบตาเจนาเรีย นัยย์ตาเศร้า “ฉันขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ เจนา ที่พาเธอไปเจอเหตุการณ์แบบนั้น..”

เจนาเรียตอบดวงตาเศร้าของเจ้าหญิงเอมิลีด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะคว้าสองมือของเจ้าหญิงมากุมไว้ “อย่าเก็บมันมาคิดเลยเพคะ เจนยินดี แล้วก็… จิม พี่ชายของเจนบอกไว้ว่าองค์หญิงเป็นคนปกป้องเจนไว้จากแรงระเบิด…”

“…” เจ้าหญิงหลบตาเจนาเรีย แล้วหันไปแต่งตัว ตามองที่กระจก “ฉันเองก็ไม่รู้อะไรหรอก ฉันก็สลบไปตั้งแต่เกิดแรงระเบิดขึ้นเหมือนกัน … ฉันคิดว่าสิ่งที่ปกป้องเราสองคนไว้คงเป็นโซลสโตนมากกว่า”

“..โซลสโตน…” เจนาเรียเอ่ยพลางมองไปที่คอของเจ้าหญิงที่มักจะเห็นโซลสโตนห้อยคล้องอยู่ตลอดเวลา “..!! แล้วโซลสโตนหายไปไหนเพคะ องค์หญิง!?”

“จิมบอกฉันว่า เราสองคนกระเด็นออกมาจากหอสมุด แต่จิมมาคว้าพวกเราไว้ก่อนตกลงพื้น ฉันคิดว่าจังหวะนั้นโซลสโตนคงหลุดไปจากคอฉัน แล้วก็ตกลงไปที่พื้น”

“(จะว่าไป ของดูต่างหน้าแม่ของเราก็หายไป ..คงตกจากกระเป๋ากางเกงเราไปเหมือนกัน)” เจนาเรียคิดในใจหลังจากเจ้าหญิงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง “..!! แล้วโซลสโตนตอนนี้…”

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันให้ลูเซียไปเก็บจากซากปรักหักพังด้านล่างมาแล้วละ” *กุก กัก กุก* เจ้าหญิงเปิดลิ้นชักที่เคาท์เตอร์อ่างล้างมือ คลำหาเครื่องประดับ

“ละ..ลูเซีย…” เจนาเรียขมวดคิ้ว “แล้วตอนนี้โซลสโตน…”

“ฉันให้ลูเซียเอาไปซ่อน”

“..!?” เจนาเรียแสดงสีหน้างงๆ แต่ก็เอื้อมมือมาช่วยเจ้าหญิงใส่เครื่องประดับ

“จำที่ท่านยอห์นว่าไว้ ก่อนที่ท่านจะให้โซลสโตนกับข้าได้ไหม?”

เจนาเรียมองเพดานขมวดคิ้ว พยายามนึกถึงความหลัง

“ห้าปีก่อนที่มหานครโพเลสตาร์น่ะ” เจ้าหญิงเพิ่มข้อมูลช่วยกระบวนการนึกถึงความหลังของเจนาเรีย

“หืม..” เจนาเรียเริ่มเอ่ย “รู้สึกว่าท่านยอห์นพูดไว้ตอนนั้นว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยอห์นมีโซลสโตนในครอบครอง แต่คงปิดไอออสได้อีกไม่นานจึงแอบให้องค์หญิงเก็บไว้…”

*กริ้ง กริ้ง* ตุ้มหูสองข้างของเจ้าหญิงส่งเสียง หลังจากเจ้าหญิงหันหน้ามามองเจนาเรีย “ไม่ใช่ตอนนั้น แต่เป็นตอนที่ท่านยอห์นบอกว่า จริงๆแล้วโซลสโตนมีรูปร่างเป็นสัญลักษณ์ดนตรี แต่ท่านยอห์นใช้สกิลคราฟท์ (Craft) (ประดิษฐ์ด้วยมือ) ของคลาสท่าน ทำให้เห็นโซลสโตนเป็นเหมือนหินธรรมดาเพื่อหลอกตาไอออสและคนอื่นๆ”

“อ๋อ!” เจนาเรียถึงบางอ้อ “เจนจำได้ๆ แล้วท่านยอห์นก็บอกว่าให้เราระวัง เพราะโซลสโตนมีพลังมาก เมื่อใดที่มีแรงมากระตุ้นให้มันแสดงพลังออกมา หินรอบนอกของท่านยอห์นคงจะรั้งไม่อยู่…”

“ใช่ แล้วก็…” เจ้าหญิงมีสีหน้ากังวลเป็นอันมาก “แรงระเบิด— ดันไปกระตุ้นให้โซลสโตนปกป้องเราสองคนน่ะสิ!”

“ห๊า!?” เจนาเรียทั้งตกใจ ทั้งเป็นกังวล “เอ่อ.. เจน รู้ว่าไม่ควรจะถามในเวลาแบบนี้ แต่ …เจนสงสัยมานานแล้วว่าโซลสโตนจริงๆ มีรูปร่างเป็นยังไงเพคะ?”

“หึหึ” เจ้าหญิงแอบขำนิดๆ “เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังมีเวลามาอยากรู้อยากเห็นอะไรๆ อีกนะ เธอนี่… จริงๆ เลย”.

“กะ..ก็ ..ก็..” เจนาเรียรู้สึกผิด เริ่มทำตัวไม่ถูก

“ล้อเล่นหน่า หึหึ” เจ้าหญิงหัวเราะ หลังจากหยอกเจนาเรียได้สำเร็จ “พ่อแม่เธอเป็นนักดนตรี เธอเองก็เป็นนักดนตรี ฉันรู้อยู่แล้วแหละว่าเธอต้องถามเจนา … โซลสโตนมีรูปร่างเป็นกุญแจซอล”

“ว่าแล้ว! เจนก็นึกว่ามันจะเป็นสัญลักษณ์ดนตรีที่แปลกกว่านี้ ที่ไหนได้ เฮ้อ… เสียดายที่ตั้งตารอคอยจริงๆ”

“แหม— เจนา เธอนี่ก็นะ.. หึหึหึ” เจ้าหญิงค่อยๆ หยุดหัวเราะ ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วหันมาพูดกับเจนาเรียด้วยสายตามุ่งมั่น “วินาทีก่อนที่จะเกิดแรงระเบิดเมื่อคืน ฉันชิงอ่านหน้านั้นไปได้เกือบครึ่งหน้า และตีความได้ว่าจะมีคนมาชิงเดอะโซลเฟธไปจากอาณาจักรของเราวันนี้”

“!!!”

“ฉันกำลังจะออกไปปกป้องเดอะโซลเฟธ! เจนา— ครั้งนี้ฉันจะไม่บังคับให้เธอไปกับฉันเหมือนเคืนก่อน.. ฉันจะไม่ขอให้เธอช่วยฉันด้วย แต่ฉันจะให้เวลาเธอคิดนะ และถ้าเธอคิดว่าอยากจะช่วยฉันละก็…” เจ้าหญิงหันหลังให้เจนาเรีย ตั้งท่าเดินหน้าสู่ประตูบานใหญ่ที่นำทางออกจากห้องบรรทม “ตามไปเจอฉันที่ห้องเดอะโซลเฟธ ก่อนงานพิธีจะเริ่ม .. ฉันขอเตือนว่าครั้งนี้มันอาจจะมีอันตรายถึงชีวิต”

—♠♣♥♦—

*ควับ เคร้ง เคร้ง ตึก ตึก แกร๊ก อี๊ดด*

“พวกนายไปคอยรักษาความปลอดภัยตรงจุดตะวันตกของลานน้ำพุนะ ส่วนพวกนายตรงจุดตะวันออก สั่งทหารแถวนั้นให้คุมพื้นที่แถวๆลานน้ำพุ แล้วก็ทางสู่ลานน้ำพุที่ขบวนรถจะผ่านด้วย”

“ขอรับ!!!” *ตึก ตึก ตึก ตึก เคร้ง เคร้ง เคร้ง*

“ส่วนพวกนาย….”

สเวนเซอร์ยืนสั่งกลุ่มทหารที่สวนด้วนหน้าพระราชวัง ที่มีทหารและคนงานในวังวิ่งวุ่นวายโกลาหลอลหม่าน มีรถขบวนที่จอดอยู่ด้านหลังสเวนเซอร์ ที่ยังมีคนงานยืนประดับขบวนรถด้วยดอกไม้ ใบไม้ ลูกแก้วพลังคริสตอล และเครื่องประดับสวยงามต่างๆ

ขบวนรถมีความยาวประมาณสองคันรถโดยสารประจำทาง มีเก้าอี้สีแดงเหมือนเก้าอี้ที่ตั้งตามเสาในโถงพระราชวังเรียงเป็นแถวจัดไว้ ขบวนรถเป็นเหมือนขบวนที่ใช้ในขบวนพาเหรดตามต่างประเทศ ทางตอนท้ายขบวนมีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ มีเครื่องประมวลผลขนาดใหญ่อยู่สองข้างซ้ายขวาของจอ เป็นเครื่องมือสื่อสารและดูแลรักษาความปลอดภัยผ่านทางระบบกล้องวงจรปิดที่แฝงอยู่ในลูกแก้วแสงไฟ ที่ลอยเป็นลูกโป่งหลากสีอยู่เต็มเมือง

*เคร้ง เคร้ง* สเวนเซอร์กระโดดขึ้นมาบนขบวนรถ แล้วหันไปถามทหารแว่นนายหนึ่งที่กำลังวุ่นอยู่กับเครื่องมือสื่อสารหน้าจอมอนิเตอร์ “เป็นไงบ้าง?”

“ทุกอย่างทำงานเป็นปกติขอรับ แต่จอมอนิเตอร์คงไม่ใหญ่พอจะแสดงภาพจากกล้องทั้งหมดทั่วเมืองขอรับ” ทหารนายนั้นตอบ

“ถึงแสดงหมดก็คงไม่มีคนพอจะมาคอยดูหรอก” สเวนเซอร์พูดเชิงบ่นๆ “คนร่วมงานเป็นแสนๆ แต่นูทรอลเลียมีทหารไม่กี่ร้อยนาย… ไอออสนี่บ้าชะมัดเลย แทนที่จะยอมให้เราเกณฑ์ชาวเมมโมเรียลมาเป็นทหารมากกว่านี้..”

“เขาไม่อยากให้ชาวเมมโมเรียลรับพลังเอเลเมนท์น่ะสิครับ กลัวว่าพวกเราจะลุกขึ้นมาต่อต้าน เฮ้อ… นี่ถ้าท่านยอห์นไม่มอบเดอะโซลเฟธให้เป็นสมบัติของอาณาจักรมิดมาเรีย ไอออสคงไม่ยอมให้นูทรอลเลียมีทหารพลังเอเลเมนท์หรอกครับ… ทหารนูทรอลเลียอย่างพวกผมได้รับพลังเอเลเมนท์นี่ก็บุญมากแล้วครับท่านสเวนเซอร์”

“เฮ้อ…” สเวนเซอร์ถอนหายใจ แล้วลงนั่งที่พื้นข้างๆทหารแว่น ตามองจอมอนิเตอร์ที่แสดงภาพจากกล้องวงจรปิดทั่วเมืองเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆลายตา แต่ละสี่เหลี่ยมยังสลับภาพจากกล้องหลายตัวอย่างรวดเร็วอีกด้วย เป็นจอที่ต้องใช้สกิลของบางคลาสที่เพิ่มความสามารถให้สายตาเท่านั้น ถึงจะสามารถตรวจมองภาพจากกล้องวงจรปิดได้ทั้งหมด

“เกิดเป็นเมมโมเรียลธรรมดาๆก็งี้แหละครับ โดนไอออสกดขี่ ปิดบังข้อมูล…” ทหารแว่นตัดพ้อ สายตาจดจ่ออยู่กับสองมือของเขาที่กำลังเดินสายไฟพลังคริสตอล “ท่านสเวนเซอร์ไม่รู้หรอก พวกเราบ่นที่โรงเหล้าหลังเลิกงานประจำ …ท่านสเวนเซอร์กับท่านจิมนี่โชคดีนะครับ ที่ได้เกิดนอกทวีป…”

*ก๊อง* “โอ้ย!” สเวนเซอร์เคาะหัวของทหารแว่นด้วยเกราะแขนของเขา

“พวกบ้าเอ้ย! สักวันพวกนายจะเสียใจที่พูดแบบนี้” สเวนเซอร์บอกกับทหารนายนั้น แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านบน สองมือท้าวที่พื้น “ข้าจะบอกอะไรให้นายรู้ไว้นะ แว่น… มีแต่เมมโมเรียลเท่านั้น ที่เกิดมาเป็นไท…”

“…” ทหารแว่นค่อยหันมามองสเวนเซอร์

*ตึก เคร้ง เคร้ง* สเวนเซอร์ลุกพรวดขึ้นยืน “เอาเป็นว่า ตอนงานพิธีก็ตรวจดูแค่ที่กล้องจากรอบๆ ลานน้ำพุละกัน ที่อื่นคงไม่มีคนหรอก เพราะคงจะมารวมตัวกันรอบลานน้ำพุหมด เรามีกันไม่ถึงร้อยคนก็จริง แต่จะเอาแต่บ่นต่อว่าไอออสก็คงไม่ทำให้นูทรอลเลียปลอดภัยขึ้นหรอก นายทำหน้าที่ของนายให้ดี คอยสั่งการสื่อสารทหารแต่ละนายตรงนี้ให้ดีที่สุดละกัน แว่น”

“ขอรับ”

*ตุบ เคร้ง* สเวนเซอร์กระโดดลงจากขบวนรถ แล้วเดินไปทางประตูพระราชวัง หวังไปดูพระราชาที่รับแขกจากไอออสด้วยอาหารเช้าที่ห้องอาหารใหญ่

—‹¤›—

เป็นเวลาเก้าโมงเช้ากว่าๆ ที่มีคนสามคนอยู่ในห้องเก็บเดอะโซลเฟธที่ตั้งอยู่ที่ชั้นสิบของพระราชวัง

*ชว้างง* แสงสว่างส่องจ้า แล้วค่อยๆ จางลง เห็นกระเป๋าใส่ไวโอลินสีดำอยู่ท่ามกลางแสงนั้น

“คงได้แค่นี้แหละ ข้าไม่มีพลังขนาดสร้างผนึกระดับเดอะเลกะซีย์หรอกนะ แต่คนที่จะเปิดผนึกนี้ได้อย่างน้อยก็ต้องมีพลังระดับข้าล่ะ”

“ขอบคุณค่ะ ท่านฟาลิออน” เสียงเจ้าหญิงเอมิลีดังมาจากด้านหลังฟาลิออน

“แต่ไม่คิดเลยนะ ว่าพวกเจ้าจะแฮคระบบเคลโมเรียนปิดระบบความปลอดภัยห้องนี้ได้จริงๆ” ฟาลิออนออกปากชม

“ไม่ใช่พวกข้าหรอกค่ะ ต้องชมลูเซียต่างหาก”

*หมับ* เจนาเรียเดินมาคว้ากระเป๋าหลังจากที่แสงสว่างจากคาถาผนึกเริ่มจาง

“เจ้าจะไม่เป็นอะไรแน่นะ เจนาเรีย?” ฟาลิออนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะท่านฟาลิออน เจนยินดีเสียสละทำเพื่อองค์หญิงและเพื่ออาณาจักรค่ะ”

“ขอบคุณนะเจนา ต่อจากนี้ชีวิตฉันคงจะเหงาขาดใจ” เจ้าหญิงพูด แต่หันหลังให้เจนาเรีย

“องค์หญิง…” เจนาเรียมองหลังขององค์หญิงที่ใส่ชุดเจ้าหญิงสีขาว ลายสีทองงดงาม “เจนเองคงจะต้องนอนร้องไห้ทุกคืนเพคะ แต่องค์หญิงไม่ต้องรู้สึกผิดนะเพคะ ..องค์หญิงรับเด็กกำพร้าอย่างเจนมาอยู่ในวัง ให้เจนได้มีชีวิตสุขสบาย ทานอาหารเลิศรส ได้ไปเที่ยวนอกทวีป ได้ทำงานเพื่อนูทรอลเลียและอาณาจักรมิดมาเรีย… เสียสละมากกว่านี้เจนก็ทำให้ได้เพคะ”

“…” เจ้าหญิงเงียบไปไม่พูดอะไรตอบ

เจนาเรียจ้องมองหลังของเจ้าหญิงด้วยสายตาสุดเศร้า เธอโตมากับเจ้าหญิง จึงเข้าใจดีว่าการตัดสินใจของเจ้าหญิงครั้งนี้นั้นหนักหนาสำหรับตัวเจ้าหญิงมากขนาดไหน

“รีบไปเถอะ” ฟาลิออนตบไหล่เจนาเรียเบาๆ “จิมรออยู่ที่หน้าวัง เดี๋ยวจะปล่อยให้พี่ชายของเจ้ารอซะเปล่าๆ… ข้าจะคอยไปเยี่ยมเจ้าสองคนแทนองค์หญิงเอง”

“ค่ะ! ขอบคุณค่ะท่านฟาลิออน” *ตึก ตึก ตึก แอ๊ดด ครึง*

ฟาลิออนหันมามองเจ้าหญิงที่ยังคงยืนหันหลังให้เขา “ร้องไห้เงียบๆคนเดียวมันทรมานนะ ปล่อยมันออกมาเถอะ”

ซิก ซิก ไม่ค่ะ!” เจ้าหญิงเช็ดน้ำตาของตัวเองก่อนจะหันมาหาฟาลิออน “ข้าไม่ควรจะร้องไห้! ศึกนี้มันเพิ่งเริ่มเอง”

“หึหึหึ องค์หญิงนี่เหมือนพระราชินีไม่ผิดเพี้ยนเลยนะ …พยายามทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าคนอื่น… ทำอะไรเสี่ยงๆ”

“แต่ท่านทำตัวแปลกๆ ไปนะคะ ท่านฟาลิออน …ข้าคิดว่าท่านจะพยายามห้ามข้าซะอีก” เจ้าหญิงเอ่ย “จริงสิ.. องครักษ์ซิเซเลียก็มากับเจ้าชายเกรอลด์นะคะ”

“ฮ่ะฮ่ะฮ่า—” ฟาลิออนเริ่มหัวเราะ แล้วพยายามกลั้นเอาไว้เพื่อจะพูดตอบเจ้าหญิงเอมิลี “วันนี้คงเป็นวันจรดกันของเดอะเลกะซีส์ตามคำทำนายโบราณ.. ยอห์นขอไว้ให้ข้ามาปกป้ององค์หญิงน่ะ… ถึงแม้ข้าจะไม่เห็นด้วยที่องค์หญิงเอาหน้าที่หนักอึ้งไปวางบนตักของเจนาเรียและจิมก็ตาม… แต่.. สองคนนั้นก็เป็นทหารของไอออส เจ้าเองก็ยังมีหน้าที่หนักกว่าคืองานหมั้นนี้… ส่วนซิลเลีย.. ข้าไม่เจอเขาแบบนี้แหละ ดีแล้ว…”

บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง

“…เจนาเรียได้รับยาเอเลเมนท์พร้อมกับข้า เธอยังคงรีลีซพลังไม่ได้ ท่านฟาลิออนช่วยปกป้องเจนาเรียแทนที่จะมาปกป้องข้าได้ไหมคะ?”

“…” ฟาลิออนมองตาของเจ้าหญิงก่อนจะเปิดปากตอบกลับไป “ได้สิ! องค์หญิงก็ตั้งใจทำหน้าที่ในงานพิธีให้ดีล่ะ”

“ค่ะ”

ฟาลิออนหันหลังให้เจ้าหญิง แล้วออกเดินไปที่ประตูที่เจนาเรียเพิ่งออกไป ก่อนจะหยุดพูดส่งท้ายก่อนจะถึงประตู “อ่อ.. แล้วก็.. ฝากองค์หญิงบอกลูเซียแทนข้าทีนะ ว่าข้าเองก็เช่นกัน ที่จะไม่มีวันที่จะหยุดยกสองมือของข้าทำเพื่อประเทศของข้า… ไอออส—คือประเทศของข้า..”

*ตึก ตึก แอ๊ด ครึง*

—♠♣♥♦—

เวลาสิบโมงกว่าๆ ที่ด้านนอกกำแพงพระราชวังทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่ไม่มีคนเลยนอกจากนาวา เพราะผู้คนในเมืองเริ่มไปจองที่กันรอบลานน้ำพุกันหมด

“บ้าที่สุด! ทำไมเราช่างไร้ความสามารถจริงๆนะ …ถ้าแค่เคโมสเฟียของวังยังผ่านเข้าไปไม่ได้ จะเอาอะไรไปชิงเดอะโซลเฟธนั่น” นาวาบ่นกับตัวเอง พลางเดินเลาะตามกำแพงด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะเจอทางลับที่จะพาเขาผ่านเคโมสเฟียเข้าไปในวัง “กลับไปหาพ่อดีกว่าไหมเนี่ย.. ดิ้นรนไปก็เสียเปล่า… ไม่สิ ไม่ๆๆ อุตส่าห์เดินมาตั้งไกล อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว!!”

*ตึก ตึก ตึก พลั่ก โครม ตุบ* หญิงคนหนึ่งวิ่งมาชนนาวาล้มลง กระเป๋าสีดำหลุดมือเธอกระเด็นไปอยู่ข้างๆ นาวา

“นี่เธอ! เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยรึไง!? วันนี้มันวันซวยอะไรเนี่ย!?” นาวาบ่นขณะคว้ากระเป๋า แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

“ขอโทษค่ะ! ขอโทษค่ะ! พอดีฉันกำลังคิดอะไรหนักเลยไม่ได้ดูทาง” หญิงคนนั้นก้มหัวขอโทษขอโพย

นาวายื่นกระเป๋านั้นให้ พลางมองดูหญิงคนนั้นที่กำลังยื่นมือมารับ พอเห็นว่าหญิงคนนั้นแต่งชุดเด็กผู้ชายยุคสมัยคลาสสิคคล้ายๆที่ลูเซียแต่งก็ดึงกระเป๋ากลับมาหาตัว

“…” เด็กหญิงคนนั้นมองหน้านาวา ก่อนที่จะพุ่งตัวไปคว้าประเป๋า “นี่นาย! เอากระเป๋าฉันคืนมานะ!”

*ควับ ควับ* นาวายกกระเป๋าหลบไปมา ก่อนจะเอ่ยถาม “เธอเป็นคนในจากในวังใช่ไหม?”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม!” *ควับ ควับ* “นี่! เอาคืนมานะ! ไม่งั้นฉันจะตะโกนร้องให้ทหารมาช่วยจริงๆ ด้วย!”

นาวายังคงไม่หยุดยกกระเป๋าหนีมือของเด็กหญิงคนนั้น “ร้องไปก็เท่านั้น แถวนี้ไม่มีคน ประตูวังก็อยู่โน่น ไม่มีใครได้ยินหรอก”

“…กรอดด!”

“ฉันมีข้อเสนออย่างนึง” นาวาเสนอขึ้นก่อนจะผลักตัวเด็กหญิงคนนั้นเบาๆ ให้ถอยหลังไป “เธอช่วยพาฉันเข้าไปในวังทีสิ แล้วฉันจะคืนสิ่งนี้ให้”

“ทำไมฉันจะต้องช่วยพาคนแปลกหน้าอย่างนายเข้าไปในวังด้วย!?” เด็กหญิงตอบทันควัน ก่อนจะหยุดคิดนิดนึง “ไม่สิๆ ก็ได้! ปะ! ฉันจะพานายไป”

นาวาขมวดคิ้วประมวลผลในใจพักหนึ่ง “ไม่ได้ดิ พอไปถึงหน้าวังเธอคงเรียกทหารมาให้จับตัวฉันไว้แทน…”

“นี่นาย! จะเอายังไงกันแน่! ขโมยของคนอื่นแล้วยังจะมาเรื่องมากอีก!” หญิงคนนั้นเริ่มยัวะ

“แต่ฉันมีความจำเป็นต้องเข้าไปในวังจริงๆ นะ!”

“ฉันก็มีความจำเป็นต้องหนีไปเหมือนกัน!!”

“หนีไป..??” นาวาจ้องตาหญิงคนนั้นแบบงงๆ “นี่เจ้าไปขโมยของอะไรมารึไง ทำไมต้องหนีด้วย?”

“อะ..เอ่อ..” เด็กหญิงทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะตอบอะไร ก่อนที่จะเริ่มพยายามคว้ากระเป๋าจากมือนาวาอีกครั้ง “เอาคืนมานะ!!”

*ฟู่ว~วว ฟ้าวว* จู่ๆ ก็มีสายลมแรงพัดมาหยุดการแย่งชิงกระเป๋าสีดำ สายลมหมุนด้วยความเร็วเป็นเหมือนพายุทอนาโดขนาดเท่าตัวคน

*วูบ วูบ* สายลมค่อยๆ จางไป เห็นร่างของชายผมยาวในชุดรัดรูปสีดำหมุนตัวอยู่ ก่อนที่จะหยุดหมุน แล้วมองมาที่เด็กหญิงด้านหน้านาวา

“มีเรื่องอะไรกัน เจนาเรีย?” ชายผมยาวเอ่ยถาม

“ก็หมอนี่สิคะ ขโมยเดอะ.. เอ่อ.. ขโมยกระเป๋าไวโอลินของเจนไป..”

นาวาตกใจกลัวจนรีบยื่นกระเป๋าคืนเจนาเรียไป

“เจ้ารีบไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ข้าจัดการเอง”

“ค่ะ ท่านฟาลิออน”

*ตึก ตึก ตึก* เจนาเรียวิ่งหายไปทางทิศตะวันออก ทิ้งนาวาไว้กับฟาลิออนที่หันมาทำหน้าเคร่งขรึมใส่นาวา

“เจ้าต้องการอะไร?”

“อะ..เอ่อ..” นาวาเริ่มกลัว ร้อนรน หัวใจเริ่มเต้นแรง “อย่าจับผมไปลงโทษเลยนะครับ ผมเป็นแค่เด็กเมมโมเรียลซนๆ ธรรมดาๆ”

“…” ฟาลิออนกวาดตามองนาวาตั้งแต่หัวจรดเท้า “(ความรู้สึกนี่มันอะไรกันนะ? รู้สึกเหมือนพลังแปลกๆ ออกมาจากเด็กนี่… แล้วก็.. ทำไมเราถึงรู้สึกพลังอ่อนๆ ของยอห์นด้วย..!?)”

“อย่าถือโทษผมเลยนะครับ นะครับ” นาวาก้มหัวขอโทษเหมือนร้องขอชีวิต แล้วหันหลังตั้งท่าจะวิ่งหนี

“เดี๋ยวก่อน!”

นาวาหยุดชะงักแล้วรีบหันกลับมาแก้ตัว “ผะ..ผมไม่ได้คิดจะหนีอะไรนะครับ.. อะ..เอ่อ..”

ฟาลิออนค่อยๆ เดินมาใกล้นาวา สายตายังคงตรวจมองนาวาไม่ขาด “เจ้าเป็นใครมาจากไหน?”

“ผะ..ผม..ผมก็เป็นเมมโมเรียลธรรมดาๆ อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ เป็นเด็กจนๆ จากเมืองทางตะวันตก” นาวาตอบ แล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“เจ้ามีของแปลกๆ อะไรติดตัวรึเปล่า?” ฟาลิออนขมวดคิ้ว ในใจยังคงครุ่นคิดด้วยความสงสัย

*กลุก กลุก กลุก* นาวาล้วงมือลึกเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองที่มีหินเล็กๆ ที่เก็บมาจากหอนาฬิกาเมื่อวานอยู่ประมาณ 5-6 ก้อน “มะ..ไม่มีครับ มีแต่หินที่ผมเก็บมาจาก เอ่อ.. ซากหักพังที่หอนาฬิกา”

“…” ฟาลิออนจ้องไปที่กระเป๋าสะพายสีขาวที่นาวาสะพายอยู่

“อะ..เอ่อ..” นาวาเห็นฟาลิออนจ้องมองกระเป๋า จึงรีบถอดมาเปิดซิบ แล้วค้นดูข้างในโดยฟาลิออนก็ยืนมองอยู่ด้วยว่าข้างในมีอะไรบ้าง

นาวาเอามือกวาดสิ่งของข้างในที่เป็นขวดน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟันของเขา แล้วค่อยๆ หยิบกล่องสีดำใบเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วเพ่งมองดูด้วยความสงสัย

“นั่นมันอะไร?” ฟาลิออนถามห้วนๆ

“ผะ..ผมก็ไม่รู้ครับ” *แกร๊ก* นาวาเปิดกล่องออกมา ด้านในเป็นหน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่ไม่มีเข็ม ไม่มีส่วนที่รัดข้อมือ

“ขอข้าดูซิ” ฟาลิออนค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบหน้าปัดนั้น แล้วตรวจดู เห็นด้านหลังหน้าปัดมีลายโลโก้รูปนาฬิกาจารึกอยู่ “(นี่มัน!? ไม่ผิดแน่ ..ตราประจำตระกูลโครนอส… เด็กนี่..?)”

“อะ..เอ่อ” นาวารับหน้าปัดที่ฟาลิออนยื่นคืนมา แล้วเก็บใส่กล่องตามเดิม “สะ..สงสัยมันเป็นนาฬิกาของพ่อผมนะครับ.. เอ่อ.. พอดีผมยืมกระเป๋าพ่อมาใช้..”

“พ่อ..?” ฟาลิออนยังคงมองด้วยความสงสัย “เจ้ามาจากจูปิรอสรึเปล่า?”

“…” นาวาเริ่มอดกลั้นความในใจไม่อยู่ “ผมไม่รู้อะไรทั่งนั้น! ทำไมมีแต่คนถามว่าผมมาจากจูปีรง จูปีรอสบ้าอะไรนั่น!? ผมแค่อยากจะเข้าไปคุยกับใครบางคนในวัง มันผิดมากนักรึไงครับ!!? ผมเป็นแค่คนธรรมดาครับ ผมขอตัวไปได้หรือยัง!?”

“…” ฟาลิออนทำท่าเหมือนจะไม่ตอบอะไร ก่อนจะเปิดปากพูด “เป็นเมมโมเรียลธรรมดา… แต่ทำไมรู้จักสหพันธรัฐจูปิรอสล่ะ?”

“อ่า..เอ่อ…” นาวาเริ่มโดนต้อนจนมุมอีกครั้ง ในใจนาวานึกถึงแต่คำพูดของลูเซียเมื่อคืนที่ว่า การบอกเรื่องราวนอกทวีปแก่ชาวเมมโมเรียลเป็นความผิดใหญ่หลวง “เอ่อ…เอ่อ—…”

“หึ” ฟาลิออนยิ้มภูมิใจ หลังจากคิดว่าตนแก้ปริศนาทั้งหมดออก “เอางี้— ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าเจ้าเป็นใครอะไรทั้งสิ้น เจ้าอยากเข้าไปในพระราชวังใช่ไหม? ข้าจะช่วยให้เจ้าเข้าไปเอง แต่เจ้าต้องตอบคำถามของข้าก่อน..”

“…??” ในหัวนาวาเต็มไปด้วยความสับสน แต่พอได้ยินว่าจะมีคนช่วยให้เข้าไปในวัง ก็มีความหวังเล็กๆ อยู่ท่ามกลางความสับสนนั้น

ฟาลิออนแสดงสีหน้าจริงจังก่อนจะยิงคำถามของเขา “เจ้ามาเพื่อจะชิงเดอะโซลเฟธใช่ไหม?”

“ชะ..ใช่ครับ” นาวาตอบตามความจริงด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“หึหึ ดี!” ฟาลิออนหันไปหน้าไปทางประตูหน้าวัง “มา! ข้าจะช่วยให้เจ้าเข้าไปในวังเอง”

“ขะ..ขอบคุณครับ” นาวายังคงงงเป็นไก่ตาแตก แต่ก็แอบชื้นใจอยู่ลึกๆ

*ตึก ตึก ตึก ตึก*

ทั้งสองมาหยุดอยู่ประตูหน้าวัง แล้วฟาลิออนก็เอ่ยถามนาวาขึ้นมา “เดอะโซลเฟธไม่ได้อยู่ที่วังแล้วนะ เจ้ายังอยากจะเข้าไปอีกรึ?”

“!?” นาวาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ครับ! ผมจำเป็นต้องเข้าไปปรับความเข้าใจกับใครบางคน”

—›››—

ประมาณ 15 นาทีหลังจากนั้น ที่ทางเดินชั้นหกของพระราชวังนูทรอลเลีย เจ้าหญิงเอมิลีกำลังเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างบานใหญ่บานหนึ่งด้านขวามือของเธอ

*ฟิ้วว* ทหารนูทรอลเลียจิมลอยลอดหน้าต่างเข้ามา

“ท่านจิม มาเคาะหน้าต่างมีอะไรหรือคะ หรือว่า… เกิดอะไรขึ้นกับเจนาเรีย!?”

“เปล่าหรอกพะยะค่ะองค์หญิง… หม่อมฉันเพียงแค่.. เอ่อ… หม่อมฉันทำใจไม่ได้ที่อยู่ดีๆ องค์หญิงทรงให้ท่านฟาลิออนมาสั่งให้หม่อมฉันหนีไปเมืองไกล แล้วไม่ให้กลับมาที่นี่อีก” จิมคุกเข่าพูดความในใจกับองค์หญิง “หม่อมฉันต้องการรู้สาเหตุพะยะค่ะ หม่อมฉันไม่สามารถกระทำอะไรโดยไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นได้พะยะค่ะ”

“ลุกขึ้นเถอะ ท่านจิม… ฉันเข้าใจดี แล้วก็ต้องขอโทษท่านด้วย ที่ไม่ได้บอกอะไรท่านเลย…” เจ้าหญิงพูดขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง “แต่.. ขอท่านอย่าไปบอกให้ใครรู้นะคะ แม้แต่ท่านสเวนเซอร์ก็ไม่ได้”

“…”

“ฉันขอร้องให้เจนาเรียแอบเอาเดอะโซลเฟธหนีไปอยู่เมืองเล็กๆ ทางตะวันออกของไมเร ก็เลยขอให้ท่านคอยไปอยู่ปกป้องเจนาเรียด้วย”

จิมทำท่าร้อนรน วุ่นวายใจ “ทำไมพะยะค่ะองค์หญิง!? มันเป็นความผิดใหญ่หลวงนะพะยะค่ะ เดอะโซลเฟธเป็นสมบัติที่ไอออสให้นูทรอลเรียรักษาไว้ เป็นสิ่งที่ค้ำประกันสนธิสัญญาสันติของสองแผ่นดินนะพะยะค่ะ”

“สนธิสัญญาสันติไม่ได้มีไว้แค่กันสงครามระหว่างไอออสกับมิดมาเรียใช่ไหมคะ ท่านจิม”

“… อะ.. องค์หญิงทรงพูดอะไร พะยะค่ะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ”

“ไม่ต้องปิดฉันหรอก ท่านจิม … คืนก่อนที่ท่านช่วยฉันกับเจนาเรียไว้ …ไม่ใช่เพราะมีคนลักพาตัวเราสองคนไปลอบทำร้ายอย่างที่ฉันบอกใครๆหรอกค่ะ… ฉันตั้งใจไปที่นั่นเอง ฉันได้เห็นแผนที่โลกจริงๆแล้ว … และก็ตีความได้ว่า ไอออสกำลังทำสงครามเย็นกับชวาร์ซ”

“..!”

“ยิ่งกว่านั้น…” เจ้าหญิงหันมามองหน้าจิม แล้วเริ่มพูดต่อ “แรงระเบิดเมื่อคืนก่อนนั้นเกิดจากการที่ฉันพยายามเปิดอ่านบันทึกที่ท่านแม่เขียนไว้”

“..!!”

“ฉันละเมิดผนึกที่ท่านแม่บันทึกไว้ทำให้เกิดคาถาแฟลร์ขึ้น แต่ก่อนจะเกิดระเบิดฉันได้อ่านข้อความที่ท่านแม่บันทึกไว้ว่า ตระกูลเมจิคัสเป็นสายลับให้กับชวาร์ซและคอยวางแผนชิงเดอะโซลเฟธมาตั้งแต่ต้น” แล้วเจ้าหญิงเอมิลีก็ล้วงเอาไดอารี่เล่มนั้นออกมาจากชุดเจ้าหญิงของเธอ แล้วชูขึ้นให้จิมเห็น

จิมทำตาโตตกใจเมื่อเห็นไดอารี่นั้น “นั่นมัน— ไดอารี่ที่ฝ่าบาททรงซ่อนไว้ในที่หนึ่งของพระราชวัง โดยไม่มีใครรู้ว่าที่ไหน…”

“หากเราบอกกับไอออสว่าเมจิคัสทรยศไอออส ก็รังแต่จะก่อความขัดแย้งกับไอออสเปล่าๆ เพราะตระกูลเมจิคัสมีอำนาจมากที่สุดในไอออส … ท่านฟาลิออนได้บอกฉันว่าสนธิสัญญาสันติว่าไว้ว่าชาวชวาร์ซจะไม่โจมตี จะไม่เข้ามาในเคโมสเฟียของเมืองในทวีปมิดมาเรีย ก็ต่อเมื่อท่านยอห์นยอมรับปากว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเดอะโซลเฟธ …ท่านยอห์นยอมข้อตกลงนี้ จึงมอบเดอะโซลเฟธให้เมืองเรา เป็นการใช้สัญญาป้องกันไม่ให้ชวาร์ซได้เดอะโซลเฟธไป …สันติในคราบสงครามเย็นจึงเกิดขึ้น …ท่านยอห์นนักรบอันดับหนึ่งของไอออสไม่สามารถปกป้องเดอะโซลเฟธจากพวกชวาร์ซอีกต่อไป แต่พวกชวาร์ซก็เข้ามาในเคโมสเฟียของเราไม่ได้เช่นกัน” เจ้าหญิงเริ่มอธิบายสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากการไปหอนาฬิกาแห่งความรู้คืนก่อน ขณะที่จิมยืนฟังด้วยความตกใจ เพราะความรู้นี้เป็นความลับที่ไอออสปิดไว้ ที่มีแต่ทหารคลาสสูงๆ เท่านั้นที่รู้ “แต่ถ้าเมจิคัสเข้ามาชิงเดอะโซลเฟธไปล่ะคะ? จะกลายเป็นว่าชวาร์ซครอบครอง 4 เลกะซีส์ ขณะที่ไอออสเสียตระกูลเมจิคัสและเดอะโซลเฟธไปจะเหลือแค่ 3 เลกะซีส์ แบบนั้นชวาร์ซคงจะครอบครองโลกนี้ได้ไม่ยาก”

“ตะ…แต่… ทำไมต้องเป็นวันนี้ ทำไมไม่บอกให้ท่านสเวนเซอร์รู้”

“ไม่มีโอกาสไหนเหมาะเท่างานพิธีนี้อีกแล้วค่ะ ท่านจิม .. ประชาชนเป็นแสนๆ แต่นูทรอลเลียมีทหารไม่ถึงร้อยนาย แล้วก็… ถ้าเราบอกองครักษ์สเวนเซอร์ เรื่องคงจะถึงไอออส เพราะองครักษ์สเวนเซอร์เป็นคนตรง เป็นทหารที่เชื่อว่าควรทำทุกอย่างตามระบบการเมืองการปกครองที่วางไว้”

“อะ…อ่า…เอ่อ.. หม่อมฉันเข้าใจสถานการณ์แจ่มแจ้งแล้วพะยะค่ะองค์หญิง” จิมก้มหัวรับ

“ขอโทษนะคะ ท่านจิม ที่ให้ภาระกับครอบครัวท่านแบบนี้… ไม่มีใครที่นูทรอลเลียจะไว้ใจได้ขนาดท่านกับเจนาเรียแล้วจริงๆ”

“ไม่เป็นไรมิได้พะยะค่ะองค์หญิง องค์หญิงเองมีอายุเพียงเท่านี้แต่กลับต้องมารับรู้เรื่องนี้… หม่อมฉันขอโทษแทนคนยุคหม่อมฉันพะยะค่ะ เพราะพวกเราดันตั้งระบบไอออสไม่ดีพอ ดันให้พวกเมจิคัสมีอำนาจสูงขนาดนี้ แล้วยังปกปิดข้อมูล บิดเบือนความจริงไม่ให้ชาวเมมโมเรียนรับรู้อะไร…”

“อย่าขอโทษเลยค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของใครหรือของคนยุคไหนหรอกค่ะ …เราแก้อะไรไม่ได้ตอนนี้หรอกค่ะ ท่านทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุดก็พอ”

“พะยะค่ะ องค์หญิง หม่อมฉันจะไม่ข้องใจรับสั่งขององค์หญิงอีกพะยะค่ะ!” จิมรับคำสั่งก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง เตรียมจะบินออกไปตามเจนาเรียให้ทัน

“ฉันให้บัตร ATM ของฉันกับเจนาเรียไว้นะค่ะท่านจิม พวกท่านสองคนจำเป็นต้องใช้เงินเท่าไรก็อย่าเกรงใจนะคะ” เจ้าหญิงส่งท้าย “ขอโทษอีกครั้งนะคะ ที่ทำเหมือนไล่พวกท่านออกจากวัง … ขอให้พวกท่านปลอดภัย ดูแลตัวเองด้วย… ซิก ซิก ฮืออ”

“อย่าขอโทษอีกเลยพะยะค่ะองค์หญิง .. ไม่เป็นไรมิได้พะยะค่ะ” *ฟิ้ววว*

*ครึง แกร๊ก* เจ้าหญิงเอมิลีเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง ล๊อคกลอน แล้วเช็ดน้ำตาตัวเอง ก่อนจะออกเดินพลางบอกกับตัวเอง “เอมิลี อย่าร้องสิ! ศึกมันเพิ่งจะเริ่มเอง..”

*ตึก ตึก ตึก*

แฮ่ก แฮ่ก วังเงียบเหมือนไม่มีคนเลยแหะ แฮ่ก แฮ่ก แล้วจะหาลูเซียเจอได้ยังไงละเนี่ย?” นาวากำลังวิ่งอยู่ในพระราชวังชั้นห้าอย่างไร้จุดหมาย “ทหารไอออสผมยาวนั่นก็ไม่ยอมเข้ามากับเรา แฮ่ก แฮ่ก บ้าที่สุดๆ อุตส่าห์มาไกลขนาดนี้แล้วแท้ๆ!”

*ตึก ตึก ตึก เอี๊ยดด* นาวามาโผล่ที่ทางเดินกว้าง แต่หยุดกึกยืนมองเจ้าหญิงเอมิลีในชุดทองขาว ประดับด้วยเครื่องประดับงดงาม ที่กำลังเดินลงมาจากชั้นหก เจ้าหญิงเห็นนาวาก็หยุดมองนาวา

ทั้งสองจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เจ้าหญิงเอมิลีจะหลับตาลงแล้วเดินผ่านนาวาไปเหมือนไม่สนใจอะไร

นาวาตัวเริ่มสั่นเล็กน้อยเพราะความตกใจ แต่ก็เก็บความรู้สึกตัวเองไว้ สูดหายใจลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วหันไปเรียกเจ้าหญิงเอมิลีอย่างสุดเสียง “ลูเซีย!!!”