ตอนที่ 12 สักวันหนึ่งเถอะ สักวันหนึ่ง

by thesolfaith

“♪ที่บนนั้นมี พวกเขาที่เรารัก~ ที่บางคราใจ เราลืมเลือน…♫”

5 พฤษภาคม ฟิกศักราช 2002 วันที่จะจารึกในประวัติศาสตร์โลก วันพิธีหมั้นของเจ้าหญิงเอมิลีผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของราชวงศ์อะมิทีแห่งอาณาจักรมิดมาเรีย กับเจ้าชายเกรอลด์แห่งอาณาจักรครีอุส ทวีปไอออส

“♪…หากวันนั้นมา วันที่เราจาก~ โลกใบนี้ เพื่อตามเขาไป~♫”

เช้ามืดวันนี้ที่ด้านหลังพระราชวังมองออกไปทางเหนือเห็นมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตาด้านล่าง ดวงตะวันยังคงหลบอยู่ใต้เส้นขอบฟ้า นูทรอลเลียเป็นเกาะที่สูงขึ้นมาจากท้องทะเลหลายร้อยเมตร ทำให้ด้านหลังพระราชวังเป็นเหมือนหน้าผา ไม่มีกำแพงสร้างไว้ มีแต่ระเบียงไว้กันคนตกลงไป

“♪จะดีเพียงใด หากเขาที่เรารัก~ ไม่พลัดไป ไกลลับตา~..♫”

มีเรือเหาะลอยเกี่ยวสมอไว้กับห่วงที่สร้างไว้ที่พื้น 3-4 ลำในสวนหลังวังที่เรียกว่า สวนรับรอง เพราะเรือเหาะของคนสำคัญจากไอออสมักจะเข้ามาจอด และใช้สวนนี้ยืดเส้นสาย สูดอากาศบริสุทธิ์ พักผ่อนจากการเดินทางไกล

“♪…อยู่รวมกันใน ที่ที่ดีกว่า~ บ้านบนฟ้า ท่ามกลางดวงดาว~♫”

สวนนั้นเขียวขจีไปด้วยหญ้าที่พื้น สีตัดกับทางเดินที่ปูด้วยหินสีขาว ที่รอบโคนต้นไม้ต่างๆ ก็ปูด้วยพื้นหินเช่นกัน เพื่อปิดบังระบบท่อส่งน้ำให้กับต้นไม้ต่างๆ  โดยที่ระบบท่อส่งน้ำเหล่านี้ลำเลียงน้ำจากตัวเมืองนูทรอลเลีย ไหลมาผ่านสวนนี้ไปตกที่มหาสมุทร

“♪ก่อนเคยนึกฝัน ครั้งยังตัวน้อย~ ถึงคืนวันเรา ล้อมไฟเป็นวง…♫”

ทางเดินแตกแขนงไปทั่วสวนขนาดใหญ่นี้ นำทางไปสู่ที่นั่งเล่นต่างๆ ที่มีหลังคาหกเหลี่ยมไว้กันแดดและฝน ทุกทางเดินนั้นนำทางไปสุดที่ทางเดินขนานกับระเบียงที่ขอบเหว ที่มีผู้หญิงผมบลอนด์คนหนึ่งกำลังมองท้องฟ้าทางเหนือที่มีเรือเหาะหลายขนาด หลายรูปร่าง หลายประเภท และหลากสีสัน กำลังค่อยๆเคลื่อนที่ผ่านเคโมสเฟียเข้ามาสู่นครนูทรอลเลีย ผมของเขาปลิวไสวตามสายลม

“♪…จากพวกเราไป เพื่อนๆ และครอบครัว~  ทิ้งเราไว้ ร้องไห้ บนดิน~♫”

ฟอลลิออนเพื่อนรักของยอห์น นักรบอันดับหนึ่งของไอออส กำลังเดินทอดน่องไปที่ระเบียงขอบเหวที่หญิงคนนั้นท้าวแขนร้องเพลงอยู่ ผมยาวสีออกแดงๆของฟอลลิออนเริ่มปลิวไหวตามลม เขายังคงสวมชุดรัดรูปสีดำที่มีลายแสงสีเงิน เห็นแสงสีขาววิ่งตามเส้นเหมือนเป็นชุดของหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน ปืนไรเฟิลที่สะพายอยู่ที่หลังของเขาค่อยๆ สะท้อนแสงตะวันที่เริ่มสาดส่องขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก

“♪วงรอบกองไฟ ของพวกเรานั้น~ สักวันหนึ่งเถอะ สักวันหนึ่ง…♫”

ฟอลลิออนเดินไปหยุดอยู่ด้านหลัง หญิงผมบลอนด์คนนั้น

“♪…จะเป็นวงเดิม เหมือนเมื่อแรกเริ่ม~ ด้วยความรัก มันจะสมบูรณ์♫”

*แปะ แปะ* “เจ้าร้องเพลงเพราะขึ้นมากๆ ตั้งแต่ที่ข้าได้ยินครั้งแรกรอบกองไฟเมื่อ 5 ที่แล้ว” ฟอลลิออนปรบมือ “จำได้ไหม ลูเซีย ที่ข้าแซวว่าโตขึ้นเจ้าน่าจะเป็นอาร์ทิส (Artist) (ชื่อคลาส)”

“…” ลูเซียไม่ตอบอะไร ได้แต่มองท้องฟ้าที่มีเรือเหาะทยอยบินมา

ฟอลลิออนเดินไปท้าวแขนทั้งสองข้างที่ระเบียงข้างๆ ลูเซีย “งอนข้ารึไง? เป็นเด็กเป็นเล็กริอาจจะงอนผู้ใหญ่”

“ข้าไม่ได้งอนท่านสักหน่อย..” ลูเซียหันมาตอบ แล้วหันกลับไป “…ข้าแค่ไม่มีอะไรจะพูดกับท่าน”

“เพราะข้าไม่ตอบตกลงช่วยเอาเดอะโซลเฟธออกไปจากนูทรอลเลียใช่ไหม?” ฟอลลิออนยิ้ม “เจ้าถึงขนาดลงทุนวางแผนแยบยลไปปิดระบบรักษาความปลอดภัยที่ห้องเดอะโซลเฟธเมื่อคืน… แต่ข้ากลับไม่ตอบตกลงช่วย อืม… มันก็น่างอนเหมือนกันนะเนี่ย”

“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้งอนไงล่ะ”

ฟอลลิออนมองลูเซียพักหนึ่ง แล้วจึงหันไปมองท้องฟ้าทางเหนือ “จะให้ข้าทำอย่างนั้นได้ยังไง ..ข้าเป็นทหารของไอออสนะ ขืนข้าชิงเดอะโซลเฟธไป ไอออสก็ติดตามข้าได้สบายๆ …แต่ที่สำคัญกว่า— คือใครๆต่างก็รู้กันว่า ข้าเป็นคู่หูของยอห์น”

“เป็นคู่หูของท่านยอห์นก็ไม่ได้แปลว่าเป็นท่านยอห์นนิคะ! ไม่เห็นจะผิดสนธิสัญญาสันติเลย!” ลูเซียเถียงขึ้นมาด้วยใจร้อนรนผิดนิสัยของเธอ

“เจ้าคิดว่าพวกที่จ้องจะเล่นงานไอออสจะยอมเชื่อเหรอ? แค่ข้าแตะเดอะโซลเฟธพวกนั้นคงฉีกสัญญาอ้างว่ายอห์นสั่งให้ข้ามาชิงเดอะโซลเฟธแล้วละ” ฟอลลิออนอธิบายด้วยเหตุผล “…เราสองคนทำอะไรไม่ได้หรอก ลูเซีย …มันเกินพวกเราจริงๆ …เฮ้อ— คงได้แต่หวังว่าท่านมาริโอจะโผล่มาด้วยแผนการดีๆ… แต่ลองคิดดูนะ— ถึงแม้ชวาร์สจะได้เดอะโซลเฟธไป มันก็ยังไม่ใช่จุดจบของโลก ..เรายังมีโซลสโตนที่พวกเราเซอร์เคิล (Circle) (วง[รอบกองไฟ]) ครอบครองไว้อย่างลับๆ นะ”

ลูเซียหันควับมามองหน้าฟอลลิออน “นี่มันเรื่องใหญ่โตนะคะ ท่านฟอลลิออน! จะไปทึกทักอะไรแบบนั้นได้อย่างไรคะ! แล้วมาบอกให้ข้าวางใจไม่ลงมือทำอะไรเลย… ท่านมาริโอเป็นใครกันที่อยู่เราจะฝากความหวังไว้? ข้าไม่เคยเห็นท่านผู้นั้นเลย ท่านมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้! ไม่สิ! ท่านมีตัวตนอยู่จริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้! แล้วอย่าลืมสิคะ— ว่าหน้าที่ปกป้องเดอะโซลเฟธนั้นเป็นของชาวนูทรอลเลีย …ข้าไม่ยอมฝากความหวังไว้กับคนนอกหรอกค่ะ!! ไม่มีวัน!!”

“หึ” ฟอลลิออนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้นะว่าท่านมาริโอมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ข้ายืนยันได้เลยว่าท่านนั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ ..ไม่ได้เป็นตำนานที่พวกโครนอสแต่งขึ้นแต่อย่างใด… —เจ้าคิดมากไปนะ.. ชอบเอาภาระใหญ่หลวงมาแบกไว้คนเดียว พออะไรไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ก็ร้อนใจ… เฮ้อ— ทำไมเจ้าไม่เอาผู้แสนดีอย่างเจ้าหญิงเอมิลีมาเป็นตัวอย่างบ้างนะ”

“ก็ข้าไม่ใช่เจ้าหญิงเอมิลีนิคะ!! ข้าก็คือข้า!!” ลูเซียขึ้นเสียง

“หึหึ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” ฟอลลิอออนเริ่มหัวเราะ “เจ้านี่ยังเหมือนเดิมไปเปลี่ยนเลยนะ… แต่เอาเถอะ.. เจ้าทำอะไรแล้วสบายใจก็ทำเถอะ ..ข้าจะคอยดูแลอยู่ห่างๆ ..ขอแค่อย่าเอาข้าไปข้องไปเกี่ยวกับเดอะโซลเฟธเป็นพอ ข้าไม่อยากถูกคนรุ่นหลังตีตราว่าเป็นคนร้ายผู้ทำลายสันติ …ข้าไม่กล้าพอจะทนถูกด่าในคาบประวัติศาสตร์ของเด็กรุ่นหลังๆ ..หวังว่าเจ้าคงจะเข้าใจ”

อารมณ์ของลูเซียเริ่มเย็นลง เธอเริ่มทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด “อะ.. เอ่อ.. ท่านฟอลลิออน ข้าขอโทษนะคะ ที่ขึ้นเสียงกับท่าน… ท่านเป็นผู้ใหญ่ ข้าทำอะไรที่ไม่งามจริงๆ ..ข้าขอโทษค่ะ …ข้าเครียดมากๆ ..ขะ.. ข้าคงจะต้องเรียนรู้จากเจ้าหญิงอย่างที่ท่านพูดจริงๆ”

“บ้าหน่า! อย่าเลย” ฟอลลิออนตัดบทลูเซีย “ข้าแกล้งพูดให้เจ้าโมโหไปงั้นแหละ อย่าเก็บไปคิดเลย… เจ้าเป็นเจ้าแบบนี้ดีแล้วละ ..ข้าไม่ติดใจที่เจ้าขึ้นเสียงหรอก …เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? รอบกองไฟที่โพเลสตาร์ 5 ปีที่แล้ว เจ้าพูดไว้เองนิ ว่าอยากให้พวกเราเซอร์เคิลทั้งหกคนเป็นเพื่อนสนิทกัน”

*ครืนน—น ครืนน—น เฟี้ยวว—ว ฟิ้ว—ว* เรือเหาะเริ่มบินมา ผ่านทั้งสองคน สร้างลมแรงมาพัดใส่ทั้งสอง

ก่อนจะหันหลังเดินมุ่งหน้ากลับเข้าไปในตัวปราสาท ลูเซียเอ่ยกับฟอลลิออน “ขอบคุณนะคะ ..ท่านฟอลลิออน ..ข้าเข้าใจที่ท่านบอกข้าทุกอย่าง ..แต่ข้าจะไม่ยอมอยู่เฉยๆหรอกค่ะ! ตราบใดที่ยังมีแรง ข้าก็จะไม่หยุดยกสองมือนี้ขึ้นมาทำเพื่อประเทศหรอก!”

ฟอลลิออนไม่ได้มองตามลูเซียที่เดินจากไป ได้แต่มองเรือเหาะมากมายบนท้องฟ้า “หึ— ไม่หยุดยกสองมือเพื่อประเทศงั้นรึ? หึหึ ..ผ่านมาตั้ง 5 ปี แต่เด็กคนนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง.. เวลา… บางทีก็เปลี่ยนคนไม่ได้แฮะ…”

—»»»»—

*แซ่ด แซ่ด* เช้าวันนี้รู้สึกผู้คนจะคึกคักสุดๆ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาแต่งชุดดำตั้งใจจะไว้ทุกข์ให้กับเจ้าหญิงของอาณาจักร แต่กลับออกมาเห็นเรือเหาะลอยเกี่ยวสมอกับบ้านต่างๆเต็มเมือง ลูกแก้วที่คอยลอยให้แสงไฟตามทางต่างๆเมื่อคืนนั้น ตอนนี้ลอยไปมา มองไกลๆเหมือนลูกโป่งหลากสีในงานฉลอง มีเศษกระดาษสีเงินปลิวไปมาอยู่ในเคโมสเฟียที่พอตกลงมาถึงพื้นก็ถูกเป่าให้ลอยขึ้นไปอีก ด้วยระบบเซนเซอร์ INS ของเคลโมเรียน

*แซ่ด แซ่ด* บนถนนยังคงเต็มไปด้วยแผงขายของ เสียงคนขายของกันดังกระหึ่ม ทั้งยังมีเสียงคนเจรจากันเรื่องค่าจอดเรือเหาะตามบ้านต่างๆ ช่างเป็นเวลาสำคัญที่มีเม็ดเงินไหลทะลักเข้ามาให้กับเศรษฐกิจนูทรอลเลียจริงๆ

นาวาเดินออกมาจากบ้านเกสท์เฮาส์ที่เวสท์เกทกับพ่อของเขาที่กำลังดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง บอกเวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง

*แซ่ด แซ่ด* ทั้งยังมีเสียงผู้คนตะโกนถามกันอย่างโกลาหล “ทำไมเมืองตกแต่งเหมือนมีงานพิธีล่ะ!?”

“เห็นไหมพ่อ! ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องแต่งดำ” วันนี้นาวาแต่งชุดเสื้อยืดสีเขียวอ่อน กางเกงขาสั้นลายสก๊อตสีเขียว น้ำตาล ขาว สะพายกระเป๋าสะพายใบเล็กสีขาวที่ยืมพ่อมา ซึ่งดูตัดกับคนรอบๆ ที่ส่วนใหญ่แต่งชุดสีดำ

มิสเตอร์นาร์สทที่แต่งดำออกมานั้นกำลังงงกับภาพที่เห็น “แล้วตกลงต้องไปช่วยงานที่วังอะไรนั่นไหมละ?”

“ไปสิพ่อ! พ่อไปด้วยกันไหม?” นาวาตอบ

“ไม่ล่ะ.. พ่อต้องเดินซื้อดอกไม้กลับบ้านด้วย… ไว้กลับมาเจอกันที่ห้องละกัน ..รถไฟออกหกโมงครึ่งนะอย่าลืม —พ่อไปเปลี่ยนชุดก่อนละ…”

“พ่อครับ” นาวาเรียก

“ว่าไง?”

“…ผมขอโทษที่เถียงพ่อเมื่อวานนะครับ”

มิสเตอร์นาร์สทเดินมาลูบหัวลูกชาย “…มันก็ต้องยกโทษให้อยู่แล้ว..”

ในขณะเดียวกันครอบครัวไวทีก้านั้นกำลังเดินออกมาจากที่พักของพวกเขา

“แม่รู้ได้ไงอะว่างานพิธีจะไม่ยกเลิก!?” คาห์เนิร์ลถามอย่างงงงวยหลังจากออกมาเห็นบรรยากาศของเมือง

“ฮ่าฮ่า เป็นไงล่ะ! อยากไม่ไปกับแม่ที่ถ้ำวงกตเองนิ ก็อดรู้เลยว่าแม่รู้ได้อย่างไร!”

“ว่าแต่เราจะไปดูพิธีกันตรงไหนคะ?” คาห์เนียเอ่ยถามพ่อกับแม่

“มันก็ต้องจุดลานน้ำพุนะเซ่!! มาทั้งทีก็ต้องไปที่ที่ดีที่สุดสิ!!” คาห์เนิร์ลตอบอย่างขึงขังตามสไตล์ของเขา

“โอ้ย— คนเยอะ.. เราจะไปอัดกับเขาทำไมกัน อยู่ไกลๆ ก็มีจอกลางอากาศฉาย” มิสซิสไวทีก้าขัดลูกชาย

“อะไรอะ! ไม่อะ! เห็นพระราชา เจ้าหญิง กับเจ้าชายตัวจริงๆ ใกล้ๆ ดีกว่าเยอะ!!”

»»»

“*ตี๊ดด* เวลา 8:00 นาฬิกา…” เสียงองครักษ์สเวนเซอร์ประกาศผ่านระบบเสียงของเคลโมเรียนดังกึกก้องไปทั่วใต้เคโมสเฟียของนูทรอลเลีย “ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังสิ่งที่ฝ่าบาทกำลังจะตรัสหลังจากนี้ด้วย…”

ผู้คนบน Processional Way ต่างหยุดส่งเสียง และแทบจะหยุดเคลื่อนไหวเลยทีเดียว ต่างคนต่างหยุดมองหน้ากัน ตั้งใจฟังเสียงที่จะผ่านออกมาจากระบบเสียงของเคลโมเรียน

นาวานั้นกำลังวิ่งผ่านคน มุ่งหน้าไปที่ลานน้ำพุ เป็นหนึ่งในคนหมู่น้อยที่ไม่หยุดยืนรอฟังคำประกาศ

“ครอบครัวนูทรอลเลีย.. นิสทรัม.. ไมเร.. รวมถึงทุกท่านจากทวีปไอออส และทวีปโอคารินา (Ocarina) ..ข้าพเจ้า มิดเดล อะมิที (Middel Amity) อยากจะประกาศให้ทุกท่านรับรู้ว่าเจ้าหญิงเอมิลี อะมิที นั้นปลอดภัยดี ..แต่พวกเราปิดเป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของตัวเอมิลีเอง …ฉะนั้นพิธีหมั้นจะเริ่มเวลาบ่ายโมง จะยังคงเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ …ข้าพเจ้าขออภัยอย่างสุดซึ้งที่ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”

นาวานึกในใจขณะกำลังวิ่งผ่านผู้คน “(ลูเซีย ..ข้าไม่ยอมให้มิตรภาพของเราจบลงแบบนี้หรอก! แม้ข้าจะเป็นมิดมาเรียธรรมดาๆ …แม้ข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ..ข้าก็จะชิงเดอะโซลเฟธหนีไปตามที่ข้ารับปากไว้กับเจ้า!)”

“สุดท้ายอย่าลืมว่า Processional Way ทางตอนเหนือของลานน้ำพุจะเป็นทางของขบวนรถ ขอให้ทุกท่านที่ขายของอยู่แถวนั้นเก็บแผงของท่านก่อนเที่ยงตรง ..หลังเวลาเที่ยงไปจนถึงหกโมงเย็นทางนูทรอลเลียจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกเคโมสเฟียของเมือง ขอบคุณครับ!” เสียงสเวนเซอร์ประกาศปิดท้าย

ผู้คนเริ่มกลับมาส่งเสียงคึกคัก เดินไปมาอีกครั้ง

*พลั่ก ตุบ* นาวาล่วงลงไปนั่งที่พื้นถนน

“…มาเดินชนผมทำไมเนี่ย!?” นาวาร้องใส่ชายในเสื้อคลุมสีดำ ที่มีฮูดสวมหัว และมีไม้เท้าค้ำพื้นอยู่ที่มือขวา

ชายในเสื้อคลุมค่อยๆ หันมามองนาวา เงามืดจากฮูดนั้นปิดหน้าปิดตาเขาไว้ ดูแล้วน่าขนลุกนัก “…ขอโทษ ..เจ้าหนู.. ข้าแค่เดินตามความรู้สึก… ..ไม่ได้มองทาง..”

นาวาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ปัดเสื้อ พอได้ยินน้ำเสียงคนแก่ของชายในเสื้อคลุม ก็ตอบกลับไปอย่างไม่ติดใจอะไร “..ไม่เป็นไรครับคุณตา”

“เดี๋ยวๆ …เจ้าหนู..”

นาวาที่ทำท่าจะออกเดินหยุดกึกอยู่กับที่ “มีอะไรครับ?”

*แซ่ด แซ่ด กึก กัก* เสียงดังจากรอบข้าง

“เปล่า.. ไม่มีอะไร..”

นาวาเดินจากไป พลางนึกในใจว่าคนแก่คนนี้คงไม่เต็มร้อย

ทางชายแก่ในเสื้อคลุมนั้นเริ่มพูดกับตัวเอง “ไม่ผิดแน่..! ความรู้สึกนี้..! หึหึ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะ!!”

คนรอบๆ ที่เดินไปมา เห็นชายแก่หัวเราะคนเดียว ต่างก็มองชายแก่ในเสื้อคลุมคนนี้ ทำสีหน้าประมาณว่า อะไรของเขาอะ!

“หึหึ ฮ่ะฮ่ะ!” *ต๊อก ต๊อก* ชายแก่เริ่มออกเดินช้าๆ มีไม้เท้าคอยช่วยพยุง พลางพูดกับตัวเอง “ไม่คิดเลย ว่าก่อนตายจะได้มาเจอเรื่องน่าสนุกแบบนี้! หึหึ.. ความรู้สึกนี้… ไม่ผิดแน่ๆ! เจ้าโซลเฟจจิโอ! (Solfeggio) หึหึหึ เจ้าตายไปแล้วยังคิดจะมาเล่นสนุกกับคนแก่ๆ อย่างข้าอีก! อยากจะให้ข้ายิ้มตอนอยู่ในโลงรึไงกัน ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ!!”