ตอนที่ 11 ข้าไม่อยากจะพูดอะไรกับเจ้าอีก

by thesolfaith

*ครืนน* รถไฟใต้ดินกำลังแล่นมุ่งหน้าไปที่พระราชวังนูทรอลเลีย รถไฟเที่ยวนี้ไม่ค่อยแออัดนัก คงเป็นเพราะชาวนูทรอลเลียยังคงเศร้าเลยไม่ได้ออกจากบ้านไปเที่ยวไปทำธุระที่ไหน บวกกับรถไฟเที่ยวนี้เป็นเที่ยวหลังจากเที่ยวที่ออกหลังสวนสนุกปิด ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนมากไปแออัดกันเที่ยวก่อนหน้ากันเกือบหมด

นาวากำลังทำหน้าเคร่งเครียด นั่งคิดถึงถึงคำร้องขอของลูเซียอยู่ที่โบกี้หนึ่งกลางๆ รถไฟ “(ลูเซียจะให้เราแอบพาอะไรหนีไปก็ไม่รู้… ทำไม..? นูทรอลเลียมีปัญหาอะไรขนาดที่องครักษ์ต้องมาคุกเข่าร้องขอเรา ทั้งๆที่ลูเซียคิดว่าเราเป็นคนนอกทวีป… ทำไมอยู่ดีๆ ลูเซียถึงเดาว่าเรามาจากจูปิรอสอะไรนั่น..?  แล้วเรากลับไปตกลงช่วยเขาโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย .. บ้าที่สุด!)”

“เฮ้อ” นาวาถอนใจ “ก็เราดันไปติ๊งต๊องกร่างกับเขาว่าเราเป็นนักรบเองนินา”

นาวาได้แต่จดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้สนใจเลยว่ามีคนที่เขารู้จัก นั่งคุยกันอยู่ไม่ไกลจากตรงที่เขานั่ง

“พรุ่งนี้เราจะอยู่ร่วมงานพิธีนะ”

“อ้าว? ไหนเมื่อเช้าบอกว่าไม่อยากร่วมงานไว้ทุกข์”

“ทำไมล่ะ? เราสองคนเปลี่ยนใจอยากอยู่ต่อแล้วนินา ใช่ไหม คาร์เนีย”

“ค่ะ แม่”

มิสเตอร์ไวทีก้าทำหน้าประมาณว่า ผู้หญิงทำไมมันเข้าใจยากอย่างงี้ฟะ!? ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เอ้า … เอาไงเอากัน .. เออ.. ว่าแต่เจ้าคาห์นนี่ไปอยู่ท้ายขบวนอีกแล้วสิเนี่ย”

มิสซิสไวทีก้านั่งท้าวคาง เว้นจังหวะสนทนานิดนึง แล้วเอ่ยตอบ “พ่อได้พูดกับลูกมันบ้างรึยัง เรื่องความฝันของมันน่ะ”

“คุยกันแล้วละ”

มิสซิสไวทีก้าหันมองสามีของเธอ แล้วถามต่อ “แล้ว.. ดีขึ้นไหม?”

“ก็เหมือนเดิม แต่ฉันก็ได้เรียนรู้อะไรล้ำค่าจากการได้คุยกับมันแบบพ่อกับลูกชายนะ”

“…?”

“เราผู้ใหญ่บางทีก็จดจ่ออยู่ความมั่นคงของอนาคตมากไปนะ .. พวกเด็กๆบางทีก็ถูกครอบงำด้วยความฝันมากไป … มันจะดีแค่ไหน ถ้าผู้ใหญ่อย่างพวกเรากลับมาฝัน และพวกเด็กๆสนใจเรื่องอนาคตบ้าง .. เราไปห้ามลูกมันไม่ได้หรอก มันจะเป็นอะไร จะทำอะไร ถ้าไม่ไปทำร้ายจิตใจผู้อื่น ก็ปล่อยมันไปบ้างเถอะ” มิสเตอร์ไวทีก้าตอบอย่างน่าคิด

“เข้าใจหน่า” พูดโดยมิสซิสไวทีก้า “แม่แค่ห่วงลูกมันน่ะ.. ดันไปมีฝันที่คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ไม่มีวันไปถึงได้.. เฮ้อ..”

“ขอโทษที่ให้รอนะ”

นาวาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง “เจ้าใส่แว่นสายตาด้วยเหรอเนี่ย?”

“เปล่าหรอก” ลูเซียนั่งลงข้างๆ นาวา “มืดแล้ว ใส่แว่นดำเดี๋ยวจะมีพิรุธได้ เลยใส่แว่นตาเวทมนต์นี้แทน ใส่แล้วมันเปลี่ยนสีตาได้ด้วยการเล่นแสงสะท้อนล่ะ ดูสิ! ข้าตาสีแดงดูเป็นไงบ้าง”

นาวามองไปที่ตาของลูเซีย “น่ากลัว… ตาเจ้าสีธรรมชาติก็สวยดีอยู่แล้วนิ”

“หุหุ ดูเจ้าจะชอบตาสีฟ้าของข้ามากเลยนะ” ลูเซียยิ้ม “ข้าไม่ได้อยากสวมหรอก.. แว่นนี่ แล้วก็หมวกครอบหัวนี่ด้วย แต่ก็ต้องทำเพื่อความปลอดภัยของตัวข้าเอง”

“..เป็นองครักษ์นี่มันยากลำบากขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”

“หึหึ”

“ข้าพูดอะไรตลกรึ” นาวาถามเพราะตามอารมณ์ลูเซียไม่ทัน

“คิดแล้วก็ยังคงน่าขำ” ลูเซียพูด “เจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร หึหึ ถ้าไม่ใช่คนจากตระกูลโครนอสที่เชื่อเรื่องการสอนเด็กๆ ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก เจ้าก็คงเป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ที่โรงเรียนสอนอะไรก็ไม่สนใจ ข่าวสารอะไรก็ไม่รู้ เป็นพวกแนวแบบว่า เรื่อยเปื่อยไปวันๆ”

*ฉึก* แทงใจดำนาวาเต็มๆ

“หะ..แหะๆ” นาวาหัวเราะกลบเกลื่อน

“เอ้อ…นาวา”

“ว่าไง?”

“ข้าขอบคุณเจ้ามากนะ ที่ยอมตกลงช่วยข้า ข้ารู้สึกโล่งใจขึ้นมากเลย”

นาวาแอบทำหน้าเหมือนรู้สึกผิด ก่อนจะหลบหน้าลูเซียกรอกตาลงมองที่พื้นรถไฟ “ไม่เป็นไรหน่า.. เห็นเจ้ากลับมายิ้มแบบนี้ข้าก็ดีใจ … อะ..เอ่อ..ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้างละกัน”

“อื้อ.. เดินไปตามทางที่ข้าเดินกลับมานะ รถไฟใต้ดินมีห้องน้ำอยู่แค่ที่ท้ายขบวน เดินตรงไปเรื่อยๆก็จะเห็นป้ายเองแหละ”

“…โอเค”

›››

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ที่ท้ายขบวนรถไฟ

“หึหึ ในที่สุดข้าก็ได้เห็นหน้าตาของเจ้า เจ้าบอสโคดเอส ฟีไลน์ (Feline) (ชื่อวงศ์หรือตระกูลของสัตว์ประเภทแมวและเสือ) ย่ะ! ย่ะ!”

*วูบ วูบ* ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่กำลังฟันดาบไปมาอยู่ท้ายขบวนนี่คือใคร

“เจ้าเป็นบอสมอนสเตอร์ของแคว้นเอเลฟธีเรีย ข้าลอร์ดคาห์เนิร์ลจะปราบเจ้าเพื่อแคว้นของข้า เจ้าเตรียมตัวรอไว้เลย!!”

*โป๊ก* คาห์เนิร์ลควงดาบไปโดนคนที่กำลังยืนอยู่แถวๆ หน้าห้องน้ำโบกี้ท้ายขบวน (ตามเคย เฮ้อ~ ไม่ไหวๆ :S)

“อะไรของนายเนี่ย!?” ผู้เคราะร้ายร้องโวย

“ฝึกวิชาน่ะสิ! เจ้าน่าจะภูมิใจนะ ที่รับดาบของนักดาบผู้ที่จะปราบโคดเอสมอนสเตอร์อย่างข้า ลอร์ดคาห์เนิร์ล! แล้วยังมีชีวิตอยู่”

“…ฉันรออยู่นะ” ผู้เคราะห์ร้ายพูดห้วนๆ

“หึหึ” คาห์เนิร์ลยิ้มอย่างภาคภูมิ “ไม่ต้องห่วงหรอก หึหึ เจ้าไม่ต้องรอนานหรอก อีกไม่นานข้าก็จะปราบบอสทั้งหมดลงอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก! หึหึหึ”

“เอ่อ.. ฉันหมายถึงรอคำขอโทษจากนายต่างหาก.. อะไรกัน อยู่ดีๆเอาดาบของเล่นมาตีผู้หญิง”

“เจ้าต่างหาก มาขวางการฝึกวิชาของข้า!”

“อ้าว” ผู้หญิงคนนั้นทำหน้างง “ยืนรอแม่อยู่เฉยๆ ก็ผิดได้ด้วย”

“ก็ข้ากำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกนิ เจ้าจะมายืนขวางข้าทำไมละ?” คาห์เนิร์ลทำตัวไม่ยอมแพ้ผิดปกติของเขา เพราะลึกๆแล้วรู้สึกเจ็บใจที่ต้องเริ่มยอมรับว่าฝันของเขานั้นไม่มีวันเป็นจริงได้ หลังจากที่ได้คุยเปิดอกกับพ่อของเขาเมื่อบ่าย

*ตึก ตึก* นาวาเดินผ่านสองคนนี้ที่ยังคงเถียงกัน นาวาที่ในหัวมีเรื่องต้องถกคิดไม่ได้สนใจมองคนรอบๆ มุ่งหน้าตรงไปที่ห้องน้ำอย่างเดียว

*ตึง* เสียงปิดประตูห้องน้ำห้องที่นาวาเดินเข้ามา ห้องน้ำเป็นห้องเล็กๆ คล้ายๆ ห้องน้ำบนเครื่องบิน มีกระจกติดอยู่ตรงอ่างล้างมือ

“เฮ้อ—” นาวามองตัวเองในกระจก “ทำไมเราถึงไม่มีความกล้าที่จะบอกลูเซียไปนะ ว่าเราเป็นแค่เมมโมเรียลจนๆ คนนึง … หรือว่าเรากลัวว่าคนชั้นสูงอย่างเขาจะเลิกคุยกับคนต่ำๆอย่างเราถ้าเขารู้ความจริง? … เฮ้อ นี่เรากลัวเขาเลิกคุยกับเราขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? …นาวาเอ๋ย นาวา… นี่นายชอบเขามากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”

*แอ๊ด* เสียงประตูห้องน้ำห้องหนึ่งเปิดออก แล้วมีผู้หญิงวัยกลางคนเดินออกมา

“ไปกันเถอะ โซเนท (Sonnet) จะถึงลานน้ำพุแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นพูดกับเด็กหญิงที่คาห์เนิร์ลกำลังเถียงอยู่

“ฮะ แม่” โซเนทหันไปตอบแม่ของเธอ แล้วหันกลับมาที่คาห์เนิร์ล “ถ้าฉันเจอนายอีก แล้วนายยังไม่ขอโทษฉันนะ น่าดู! แต่ขออย่าให้เจอกันอีกเลยดีกว่า!!”

*ตึก ตึก ตึก*

“*ติ๊ง* สถานีต่อไป ลานน้ำพุ”

“หวาา! นั่นมันสถานีที่เราต้องลงนินา!” คาห์เนิร์ลรีบออกวิ่งไปทางเดียวกับที่โซเนทและแม่ของเธอเดินออกไปเมื่อครู่ เพื่อไปหาพ่อแม่และน้องสาว

›››

*ตึก ตึก ตึก* “แฮ่ก แฮ่ก” คาห์เนิร์ลวิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยเข้ามาในโบกี้ที่ครอบครัวของเขาอยู่

มิสซิสไวทีก้าหันไปดูเจ้าของเสียงหอบ เมื่อเห็นเป็นลูกชายตัวเอง ก็หันกลับไปคุยกับคนที่กำลังสนทนากันอยู่ “นี่ไง คาห์น ลูกชายน้า .. ดูๆแล้วน่าจะอายุเท่าหนูนะ ลูเซีย”

“..แฮ่ก แฮ่ก” คาห์เนิร์ลค่อยๆเดินหอบแฮ่กๆ มาหาแม่ของเขา

“คาห์น นี่คนจากในวัง … แม่เขาไปรู้จักตอนไปถ้ำวงกต” มิสเตอร์ไวทีก้าช่วยแนะนำ

“สวัสดีค่ะ … เอ๊ะ!.. นี่เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า?” ลูเซียพูดกับคาห์เนิร์ล

“อ่า.. เธอนี่คล้ายๆกับผู้หญิงใส่แว่นดำที่ฉันคุยด้วยที่หอสมุดเลย” คาห์เนิร์ลมองหน้าลูเซีย ขมวดคิ้ว

“อ้อ! เธอนี่เอง” ลูเซียถึงบางอ้อ “แล้ว.. เจอเพื่อนที่เธอตามหารึยังล่ะ?”

“นี่ รู้จักกันหรอกเหรอ?” มิสซิสไวทีก้าพูดอย่างเซอร์ไพรส์

“นั่นสิ พี่ไปรู้จักพี่ลูเซียตั้งแต่เมื่อไรกัน?” คาร์เนียก็สงสัยด้วย

“เอ้อ เรื่องมันซับซ้อนนะ” คาห์เนิร์ลหันไปตอบแม่กับน้องสาว แล้วหันมาตอบลูเซีย “ก็ยังหาไม่เจอเลย ไม่คิดมาก่อนว่าเมืองหลวงจะมีคนมากมายขนาดนี้ … เฮ้อ— นึกแล้วก็เจ็บใจตัวเองที่ลืมขอเบอร์ติดต่อไว้ หมอนั่นยิ่งมีฝันคล้ายๆกับฉันด้วย..”

“*ติ้ง* สถานีลานน้ำพุ” *ครืดด* ประตูรถไฟใต้ดินเลื่อนเปิดออก

“เราต้องไปแล้วละ ถ้าพวกเรามีโอกาสมาที่เมืองหลวงอีกไว้มาคุยกันอีกนะแม่หนู” มิสเตอร์ไวทีก้าพูดพลางผลักครอบครัวของเขาเบาๆ ให้เดินออกจากรถไฟ

“บายค่ะ มาที่นี่อีกเมื่อไรก็ติดต่อไปที่เบอร์ที่หนูจดให้ไปนะคะ” ลูเซียยิ้มลา

มิสซิสไวทีก้า กับคาร์เนียหันมาโบกมือลา “บ๊าย บาย”

“…ลูเซียใช่ไหม ยินดีที่ได้รู้จัก” คาห์เนิร์ลพูดพลางเดินจากออกประตูรถไฟ

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน คาห์น หวังว่าเธอจะได้เจอกับเพื่อนที่ตามหานะ”

*กลุก กลุก กลุก ตึก ตึก ครืดดด* เสียงผู้โดยสารทยอยออกจากรถไฟ และเสียงผู้คนเดินกรูเข้ามา ตามด้วยเสียงประตูเลื่อนปิด

*ครึก ครึก ครืนน*

“ลูเซีย เมื่อกี้เจ้ายืนโบกมือให้ใครกัน ข้าเห็นไกลๆ ไม่ชัด” นาวาที่กำลังเดินเข้ามาหาลูเซียถามขึ้น

“อ๋อ ก็ครอบครัวไวทีก้าไง สองแม่ลูกที่เดินถ้ำวงกตกับเราน่ะ จำได้ไหม?”

“หืม.. โลกนี้มันกลมจริงๆนะ”

“หุหุ” ลูเซียยิ้มมองหน้านาวา มือไพล่หลัง “ถ้าแค่นี้เจ้าว่าโลกกลม …การที่ลูกศิษย์โครนอสอย่างเจ้ามาพบกับข้าที่นี่ ไม่แปลว่าโลกนี้มันกลมและแคบสุดๆ ไปเลยเหรอ?”

—▒▒▓▓—

นาวาและลูเซียกลับมาถึงพระราชวังตอนเกือบๆ สามทุ่ม ทั้งสองกำลังเดินเข้าประตูวังเข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่

ห้องโถงนั้นโอ่อ่ามาก มีเสาที่ใหญ่และหนาเรียงเป็นระยะๆ ด้านซ้ายและด้านขวา (Symmetry สองด้านมีลักษณะเหมือนกัน) มีเก้าอี้สีแดง ขาเก้าอี้และที่วางแขนสีทอง ตั้งอยู่หลังเสาแต่ละเสาเอาไว้นั่งพัก ตรงเสามีส่วนเว้าเข้าไปเป็นที่วางแจกันและของต่างๆที่ประเทศนอกทวีปให้เป็นของขวัญ เสาและผนังมีสีขาว มีลวดลายเหมือนวังจากทางยุโรป ประดับด้วยลวดลายศิลปะใบไม้และเถาวัลย์ที่ทาด้วยสีแดงอ่อนๆ เช่นเดียวกับสีของเพดานที่มีโคมระย้าห้อยเป็นระยะๆ พื้นเป็นพื้นหินอ่อนสะท้อนแสงไฟจากโคมระย้า เห็นเช่นนี้ไปสุดตา มองไปทางซ้ายและทางขวาเห็นประตูสีขาวหลายบานเรียงตามผนัง เป็นประตูสู่ห้องต่างๆ เช่น ห้องอาหารที่พ่อนาวาประชุม ห้องครัว ห้องน้ำ เป็นต้น ตรงสุดตาเห็นเป็นประตูใหญ่สีแดงอ่อนสู่ห้องบัลลังค์ ทางซ้ายขวาของประตูใหญ่บานนั้นเป็นบันไดสู่ชั้นสองที่มีพรมแดงปู ชวนให้น่าเดินขึ้นไปยิ่งนัก

“นาวา ทางนี้! ไม่ใช่ห้องอาหาร งานเลี้ยงเขาจัดที่ชั้นสอง” ลูเซียพูดพลางดึงเสื้อยืดนาวา

“อ่า.. ก็คนมันไม่รู้นินา”

“นี่.. นาวา” ลูเซียเอ่ยขณะที่ทั้งสองเดินมุ่งหน้าไปที่บันไดสู่ชั้นสอง “พรุ่งนี้เจ้ามาหาข้าที่หน้าวังเที่ยงตรงนะ ข้าจะแอบเอาเดอะโซลเฟธไปส่งให้เจ้า”

“อ่า…”

“แล้วเจ้าก็รีบไปซ่อนตัวนะ เพราะจนกว่างานจะเลิกคนจะออกจากเคโมสเฟียไม่ได้ …พองานเลิกแล้วเจ้ารีบหนีไปให้ไกลเลยนะ”

“เอ่อ…”

ลูเซียมองนาวาพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “นี่ข้าขอมากไปหรือเปล่านะ? เจ้าต้องมาลำบากเพื่อข้า”

“เอ้อ ไม่นิ” นาวาตอบ มีอะไรให้คิดอยู่เต็มหัว

*ตึก ตึก ตึก* ทั้งสองเดินขึ้นบันได เมื่อขึ้นมาแล้วเห็นประตูสีขาวอยู่ตรงกลาง เป็นประตูสู่ห้องขนาดใหญ่ที่มีไว้จัดงาน ซ้ายมือและขวามือเป็นทางสู่บันไดวนสู่ชั้นถัดๆไปของวัง

*แอ๊ด* นาวาและลูเซียเปิดประตูเข้ามาในห้องที่จัดโต๊ะเหมือนงานเลี้ยง ผ้าปูโต๊ะและเก้าอี้สีขาว คนร่วมงานมากมายกำลังทางอาหารสุดหรูที่ไปตักได้จากโต๊ะบุฟเฟ่ต์ยาวสุดผนังซ้ายขวาที่เห็นคนในวังกำลังนำอาหารมาวางเสิร์ฟเรื่อยๆอย่างชุลมุน สุดสายตาเป็นเวทีที่มีผู้แทนเมืองคนหนึ่งขึ้นไปเล่าเรื่องสนุกๆ เกี่ยวกับเมืองของเขา

“นาวา!!” มิสเตอร์นาร์สทที่นั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลจากประตูทางเข้าเรียกลูกชาย “ไปเล่นที่ไหนเนี่ย? เพิ่งจะมา ข้าวกลางวันก็ไม่มากิน”

“เอ่อ..” นาวากับลูเซียเดินมานั่งที่โต๊ะที่มิสเตอร์นาร์สทนั่งอยู่กับตัวแทนเมืองคนอื่นๆ ตรงกลางโต๊ะมีป้ายเขียนว่า ‘แคว้นเอเลฟธีเรีย’

“ผมเล่นกับเพื่อนผมเพลินไปหน่อยครับ… พ่อนี่ลูเซียเพื่อนผม เป็นคนจากในวังนี้”

“สวัสดีค่ะ” ลูเซียไหว้แสดงความเคารพ

“งั้นผมไปตักอาหารก่อนนะครับ”

“เราสองคนรู้จักกันได้ยังไงล่ะเนี่ย” มิสเตอร์นาร์สทถาม หลังจากที่นาวาเดินออกไปแล้ว ส่วนคนที่โต๊ะแคว้นเอเลฟธีเรียนั้นกำลังสนใจฟังเรื่องเล่าบนเวที

“เจอกันที่หอสมุดค่ะ แล้วคุยกันถูกคอ” ลูเซียพยายามตอบแบบกระชับที่สุด “… ..คุณพ่อนาวาคะ หนูมีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อย แล้วก็มีเรื่องอยากจะขอร้องด้วยค่ะ”

“..?”

“คือคุณพ่อเคยพานาวาไปทานอาหารนอกบ้านบ้างหรือเปล่าคะ?”

“??”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ… แหะๆ แค่สงสัย”

“เคยสิ แต่ตอนนั้นนาวาเล็กมาก นาวาชอบเวลาพาเขาไปทานก๋วยเตี๋ยวตอนกลางวัน แต่เขาคงจำไม่ได้หรอก” มิสเตอร์นาร์สทตอบใจนึกถึงภาพความหลัง “นี่หนูถามทำไมเหรอ?”

“ไม่..ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือนาวากับหนูคุยกันเรื่องครอบครัวของเรานิดหน่อย หนูแค่อยากรู้จากคุณพ่อน่ะค่ะ” ลูเซียยิ้ม “อ้อ! พรุ่งนี้ทางวังมีเรื่องจำเป็นต้องให้นาวามาช่วยน่ะค่ะ หนูเลยอยากจะขอร้องให้คุณพ่ออนุญาติให้นาวามา …คือเรามีความจำเป็นจะต้องใช้พลังของนาวาน่ะค่ะ”

“พลัง…??”

“พลังเอเลเมนท์น่ะค่ะ”

“นาวาเกิดและโตที่เอเลฟธีเรียนะหนู เขาเป็นเมมโมเรียลนะ …แต่ถ้านาวาช่วยอะไรทางวังได้ก็เอาเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะบอกให้นาวามาหาละกันนะ”

›››

“อ้าว? ลูเซียหายไปไหนแล้วล่ะพ่อ?” นาวาที่ตักอาหารตำรับนูทรอลเลียมาเต็มจานวางจานลง ถามพ่อของเขา

“ไม่รู้สิ เมื่อกี้เหมือนรีบเดินออกประตูไป” มิสเตอร์นาร์สทตอบพลางมองจานอาหารของนาวา “ไม่ต้องตักมาเต็มขนาดนี้สินาวา! มันดูไม่เรียบร้อย… เอ้อ! ลูเซียขอพ่อว่าจะให้ลูกมาช่วยงานของวังพรุ่งนี้นะ ..บอกว่าต้องการพลังของเรา เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรผิดนะ …พ่อก็เลยบอกเขาไปว่าเราเป็นเมมโมเรียล”

“ห๊ะ!?” นาวาอุทานแล้วรีบวิ่งพรวดออกประตูห้องงานเลี้ยงด้วยความเร็ว “ซ้ายขวา!? ทางไหนเนี่ย!? ขวาร้ายซ้ายดี ไปทางขวาละกัน!!”

นาวาวิ่งตามทางเดินจนมาถึงบันไดวนสีขาวลวดลายเดียวกับเสาและผนังของวัง ตรงกลางบันไดวนมีลิฟท์หลอดแก้ว มีป้ายเขียนไว้ตรงลิฟท์ว่า ‘❥ ใช้บันไดประหยัดพลังงาน ดีต่อสุขภาพนะคะ ❦’

นาวามองขึ้นไปด้านบนเห็นบันไดวนนี้วนสูงขึ้นไปจนมองไม่เห็นเพดานด้านบน (อาจเป็นเพราะมันมืดด้วย) แล้วมองไปเห็นลูเซียอยู่ประมาณชั้นสาม กำลังก้าวขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ

“เดี๋ยวสิ!! ลูเซีย” นาวาร้องเรียก แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดวนตามมา

“เจ้าจะมาแก้ตัวอะไร?” ลูเซียไม่มองมาทางนาวาสักนิดเดียว เอาแต่เดินขึ้นบันไดทีละขั้น มือจับราวบันได

“ขอโทษ! ข้าไม่มีความกล้าจะบอกเจ้า” นาวาพูดเสียงดัง “แฮ่ก แฮ่ก ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่คุยกับเมมโมเรียลจนๆอย่างข้า!”

“ข้าไม่โกรธเจ้าเรื่องนั้นหรอก” ลูเซียพูดตอบ “เราต่างมีเหตุผลของเราในการปิดบังข้อมูลบางอย่าง …แต่ข้าโกรธที่เจ้าตอบตกลงจะช่วยข้า ทั้งๆที่เจ้ารู้อยู่เต็มอกว่าเจ้าไม่มีพลังอะไร.. ข้าโกรธที่เจ้าให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับข้า! และกับอาณาจักรนี้!”

นาวาขมวดคิ้วทำหน้าเครียด “แล้วการที่ข้าไม่มีพลังมันผิดด้วยเหรอ!? แฮ่ก แฮ่ก ข้าตอบตกลงจะทำเพื่อเจ้า มันผิดขนาดนั้นเลยรึไง!?”

ลูเซียหยุดเดินแต่ไม่หันมากลับมามอง “เจ้ารู้ไหมว่าการบอกเรื่องราวโลกนอกทวีปกับชาวเมมโมเรียลเป็นความผิดใหญ่หลวงขนาดไหน!? เจ้าไม่รู้อะไรบ้างเลยรึไง!? …ช่างเถอะ..เจ้าลืมเรื่องนี้ซะเถอะ …แล้วทีหลังก็อย่าได้ไปโกหกใครอีกละกัน”

“ขะ.. ข้าไม่ได้ตั้งใจจะโกหกเจ้านะ!”

ลูเซียเริ่มก้าวขึ้นบันไดอีกครั้ง “มีแค่นี้ใช่ไหมที่เจ้าอยากจะพูด? …ดี! เมื่อพูดจบแล้วก็ไปเถอะ… ข้าไม่อยากจะพูดอะไรกับเจ้าอีก”

นาวาอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินได้เห็น แล้วได้แต่ยืนตาค้างมองลูเซียเดินขึ้นบันไดวนหายไป

›››

ลูเซียเมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นแปดก็เดินออกจากบันไดแล้วเดินตามทางเดินมืดๆ ที่มีแสงสว่างส่องทางจากตัวเมืองนูทรอลเลียด้านล่างผ่านหน้าต่างบานใหญ่เกือบเท่าผนังเรียงกันทางซ้ายมือ

“คนโกหก!! เด็กเลี้ยงแกะ.. หลอกเล่นกับความหวังของประเทศ!!” ลูเซียเดินกัดฟันพูดด้วยน้ำตา

แล้วก็มีเสียงดังมาจากที่ไหนสักแห่งตรงหน้าลูเซีย “หึหึ ไม่ได้เจอเจ้าซะนาน… โตเป็นสาวแล้วนะเนี่ย.. แต่ไปโกรธใครมาล่ะเนี่ย?”

ลูเซียเมื่อได้ยินเสียงนั้น ก็มองหาตามทางเดิน เมื่อไม่เห็นก็กรอกตามองตามเพดานด้านบน จนสายตามาหยุดอยู่ที่คนคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเกลียวสายลม หันหน้าไปทางหน้าต่าง กำลังนั่งมองนครนูทรอลเลียยามค่ำคืนด้านล่าง

ลูเซียเริ่มร้องไห้โฮ “ท่านฟอลลิออนใช่ไหมคะ…? ฮือ ฮือ ช่วยข้าด้วยท่านฟอลลิออน..”