ตอนที่ 10 สวนสนุกนูทรอลเลีย ๓

by thesolfaith

“ใจเย็นๆ นาวา” ลูเซียพยายามสงบอารมณ์นาวา “พ่อเจ้าประชุมในวังใช่ไหม ป่านนี้คงยังอยู่ในงานเลี้ยงที่คนในวังจัดขึ้นเป็นการขอบคุณคนที่มาประชุมน่ะ”

“งานเลี้ยง? ข้าจะมั่นใจได้ยังไงกัน” นาวายังคงร้อนรน

“เอาหัวเป็นประกันเลยว่าตอนนี้พ่อของเจ้าอยู่ในงานเลี้ยงที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แล้วท่านก็คงคิดว่าเจ้าอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขตพระราชวัง” ลูเซียอธิบายด้วยเหตุผล “ท่านน่ะ— รู้ดีว่าที่วังมีเคโมสเฟียเป็นรั้วกันเจ้าอยู่ ท่านคงไม่ห่วงมากหรอก”

“อ่อ.. มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ เหตุผลเจ้าฟังขึ้นมากๆ” นาวาตอบ หลังจากเริ่มสงบใจตัวเองให้เย็นลง

“ว่าแต่..” ลูเซียเอ่ยถาม “คนที่มาประชุมในวังเป็นตัวแทนจากเมืองของมิดมาเรียนินา เจ้าไม่ใช่ชาวเมมโมเรียลนิ”

ในตอนนั้นนาวาคิดแต่เรื่องพ่อ แล้วก็คิดน้อยใจพ่อตัวเอง บวกกับบรรยากาศบนที่สูงทำให้นาวารู้สึกอยากจะระบายมันออกมามากๆ “พ่อไม่เคยซื้ออะไรให้ข้าเลย ไม่เคยพาไปเที่ยวพาออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไม่เคยแม้แต่จะทานข้าวด้วยกันด้วยซ้ำ … ถ้าป้าที่บ้านไม่บอกให้พาข้ามาที่นี่ และถ้าทางวังเองไม่ออกค่าตั๋วรถไฟให้กับครอบครัวผู้แทนเมือง ข้าก็คงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้”

“…นาวา” ลูเซียมองนาวาอย่างเห็นอกเห็นใจ

“พ่อทำงานหนักมาก เลยไม่ค่อยมีเวลา ท่านแทบจะไม่คุยกับคนในบ้านเลย … ท่าน—.. เป็นลุงของข้าน่ะ… ไม่ใช่พ่อบังเกิดเกล้าหรอก” นาวามองออกไปไกลอย่างไม่มีจุดหมาย

“…”

“พ่อไม่เคยซื้อของเล่นอะไรให้เลย พ่อชอบหวังให้ข้าดีกว่าคนอื่น เมื่อก่อนพ่อมักจะช่วยเรื่องการบ้านภาษาไทย ท่านดุข้าทุกครั้งที่ข้าสะกดคำผิด… แล้วข้าก็ผิดบ่อยด้วย เพราะหัวข้ามันไม่ชอบการเรียน … พ่อไม่เคยมีเวลาไปที่โรงเรียนเพื่อประชุมผู้ปกครองสักครั้งเดียว … พ่อ—..”

“…” ลูเซียมองตามสายตาของนาวา แล้วพูดตอบ “เท่าที่ฟังดู ท่านทำหลายอย่างให้เจ้านะ … เลี้ยงเจ้าโตมาขนาดนี้ … ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กเข้มแข็งนะ ต้องขอบคุณพ่อของเจ้า”

“…” นาวาหันมามองหน้าลูเซีย แล้วหันกลับไปมองสวนสนุกด้านล่าง “ตอนเด็กๆ ข้าเคยโมโหพ่อสุดๆ ที่ท่านไม่ซื้อคอมพิวเตอร์ให้ ทั้งๆที่บ้านอื่นเขาเริ่มมีกันหมด … ท่านจับข้าไปขังในห้องเก็บของ … ตอนนั้นไม่รู้ว่าข้าคิดบ้าอะไร ดันไปตะโกนบอกอย่างหยาบคายว่าท่านไม่ใช่พ่อข้า ไม่มีสิทธิมาขังข้า … แล้วประตูห้องก็เปิดออก … พ่อให้ข้าออกมา ด้วยสายตาที่เศร้าที่สุดที่ข้าเคยเห็น .. ขะ..ข้าจะบอกเจ้าทำไมเนี่ย!? …ความทรงจำที่ข้าอยากลืมมันมากที่สุด กลายเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจข้าแน่นที่สุด”

“มันคือแผลเป็นของหัวใจไงล่ะ— แผลเป็น..ไม่มีวันหายไปหรอก อยู่ที่เราเองที่จะเลือกมองมันว่าเป็นแผลที่เราทำให้คนที่เรารักเจ็บ หรือเป็นเครื่องหมายแห่งความทรงจำของความรักและการให้อภัย” ลูเซียยิ้มปลอบใจนาวา “ทุกสิ่งที่พ่อเจ้าทำ— ไม่ได้ทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นหรอกหรือ? … เด็กๆอย่างเราๆ มักจะมองว่าพ่อแม่ควรจะมีคุณลักษณะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่ดันลืมนึกไปว่า ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นก็คือนิยามของความเป็นคน …คือเสน่ห์ของมนุษย์”

“ข้าว่าเจ้าสมบูรณ์พร้อมนะ” นาวาพูดโดยไม่ได้หันมามองลูเซีย “อายุเท่าข้าแต่มีงานดีๆทำแล้ว.. พูดและคิดอะไรไกลกว่าข้าเยอะมาก ทั้งๆที่คุณครูที่โรงเรียนมักจะชมข้า ว่าข้าคิดอะไรไกลกว่าเพื่อนๆอายุเท่าๆกัน … แถม—เจ้ามีดวงตาที่สวยที่สุดด้วย”

“ปากหวานนะ นี่กำลังจะจีบกันรึไง หุหุ” ลูเซียหัวเราะ

นาวายังคงมองวิวข้างนอกท่อขนส่งอย่างไร้จุดโฟกัส ก่อนจะเอ่ยตอบ “เปล่านะ— แค่พูดความจริง .. ตัวเองยังจะเอาไม่รอดเลย จะริอาจคิดไปจีบใครได้ล่ะ…”

“หึหึ” ลูเซียยิ้ม “ข้าไม่เพอร์เฟคหรอกนาวา… สิ่งที่เจ้าเห็นมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ข้าสร้างขึ้น … ข้าก็เคยพูดทำร้ายจิตใจพ่อแม่ ทำร้ายคนอื่น .. ที่ข้าบอกเจ้าว่าเราไม่ควรให้ทุกอย่างที่เรามีกับคนยากไร้.. ลึกๆแล้วนั้นเป็นเพราะว่าข้ายังคงยึดติดกับทรัพย์ที่ข้ามี ยังคงกลัวความไม่มั่นคงของชีวิต … จริงๆแล้วข้าก็เชื่อแบบเจ้าแหละ เราควรขายทุกอย่างแล้วให้ทุกอย่างกับคนจน เพียงแต่ข้าไม่มีความกล้าพอที่จะสละขนาดนั้น เลยตั้งนิยามของมันใหม่ไว้ปลอบใจตัวเอง”

นาวาหยุดคิดประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยกับลูเซีย “ข้าเองก็ดีแต่พูด จริงๆตัวเองก็ทำไม่ได้หรอก”

“เอาเป็นว่า” ลูเซียสูดหายใจเข้าเต็มปอดเตรียมพร้อมจะพูด “เรื่องพ่อของเจ้านะ— คนไม่เพอร์เฟคอย่างข้าคิดว่า พ่อของเจ้าสอนให้เจ้าเป็นคนเข้มแข็ง …ดีแค่ไหนที่ท่านไม่ตามใจเจ้าจนเคยตัว ที่ท่านให้เจ้าได้เติบโตบนความไม่มี ที่ท่านหวังในตัวเจ้า— … เจ้าทะเลาะกับพ่อมาใช่ไหมล่ะ?”

“…”

ลูเซียตบไหล่นาวา “ถ้ากลับไปที่วังแล้ว เจ้ารีบไปขอโทษท่านเสียนะ ก่อนจะไม่ได้มีให้ขอโทษ…”

ทำไมตอนนั้นนาวาคิดว่าน้ำเสียงของลูเซียนั้นเศร้า เหมือนเธอกำลังร้องไห้อยู่ก็ไม่รู้…

»»»

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป นาวาและลูเซียมาอยู่บนชิงช้าสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในนครนูทรอลเลีย

*ครืน* ชิงช้าเคลื่อนหมุนลอยขึ้นตามเข็มนาฬิกา

ลูเซียที่นั่งอยู่ตรงข้ามนาวาถอดแว่นออก ก่อนจะเอ่ยพูดกับนาวา “ขอบคุณเจ้านะ ที่มาเป็นเพื่อนข้า … นี่คงเป็นการมาเที่ยวสวนสนุกนูทรอลเลียครั้งสุดท้ายของข้า ตอนแรกคิดว่าจะต้องมาคนเดียวซะแล้ว”

“พูดอะไรของเจ้า?” นาวาท้วง “ครั้งสุดทงครั้งสุดท้ายอะไรกัน บ้าหน่า! โตขึ้นข้าจะหางานดีๆทำ จะได้มาที่นี่อีก ..แล้วจะพาเจ้ามาที่นี่ แล้วข้าจะเป็นคนจ่ายทุกอย่างเองด้วย คอยดูสิ!”

“ฮึก ฮืออ”

“เฮ้ย!? จะ..เจ้าร้องไห้ทำไม!?”

“ฮืออ ฮืออ”

นาวาเริ่มลุกลี้ลุกลน “อย่าร้องสิ หรือว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะผิดคำพูด?? .. ไม่มีทางๆ จะนานแค่ไหนก็ตาม .. ข้าจะไม่สัญญาด้วย! ข้าจะทำจริงโดยไม่ต้องมีสัญญามาค้ำ!”

ลูเซียยังคงร่ำไห้น้ำตาไหลพรากจากดวงตาสีฟ้าทั้งคู่ของเธอ

นาวาลุกขึ้นยืนทำมือประกอบ “..เราจะไปที่เรือยักษ์ ข้าจะพัฒนาทักษะวินด์สเกทของข้า … อะ..เอ่อ..เราจะขึ้นเดอะคอนทิเนนทอลไปทุกเมืองบนทวีปเลยเป็นไง!! หยุดร้องไห้สิ ลูเซีย หยุดร้องได้แล้ว”

“ฮืออ ฮืออ ทำไมข้าต้องมาเจอเจ้าด้วย ฮึก เจ้าบ้า! ข้า..ข้าแค่อยากหนีความเป็นจริงแค่วันเดียว แล้วกลับไปต่อสู้กับปัญหาใหญ่วันพรุ่งนี้ ฮึก” ลูเซียพูดพลางสะอึกสะอื้นติดๆขัดๆ “แต่เจ้า.. ฮึก เจ้ากำลังทำให้ข้าไม่อยากกลับไปสู้กับความจริง…”

ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันเลยหลังจากนั้น นาวานั่งมองลูเซียร้องไห้จนชิงช้าสวรรค์หมุนครบรอบ แล้วนาวาก็เดินพาลูเซียมานั่งที่ม้านั่งหนึ่งข้างๆทางเดินกว้าง ที่ซึ่งจริงๆแล้วก็คือ Processional Way ที่ลาดมาจากพระราชวังทางตอนเหนือ ผ่านลานน้ำพุ ลงมาตัดกลางสวนสนุกไปจรดที่ทิศใต้สุดของสวนสนุก ที่ที่เป็นตำแหน่งของเรือยักษ์

“จะหนึ่งทุ่มแล้ว..” นาวามองเสานาฬิกาใกล้ๆกับม้านั่งที่ลูเซียนั่งอยู่ “สวนสนุกปิดสองทุ่มใช่มะ ยังพอมีเวลา! เจ้ารออยู่ตรงนี้นะ!”

*ตึก ตึก ตึก* นาวาวิ่งหายไป

ลูเซียนั่งมองคนเดินผ่านไปมาบนทางเดิน แล้วเริ่มครุ่นคิดในใจ…

“(ฉันจะทำอย่างไรดี!? พรุ่งนี้พวกเดอะเมจิคัสส์จะต้องมาขโมยเดอะโซลเฟธแน่ๆ …โอกาสที่ทั้งพระราชาและสเวนเซอร์จะออกจากวังแบบนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว … ถ้าพวกชวาร์ซได้เดอะโซลเฟธไป คนทั้งโลกต้องกลายเป็นทาสพวกนั้นแน่ๆ … ฉันต้องทำอย่างไร!? ท่านนักรบยอห์นที่ถือเดอะโซลเฟธมาหลายปี ถ้าเอามันหนีไปท่านต้องถูกพวกชวาร์ซตามฆ่าอีกแน่ … ถ้ามีใครสักคน— … คนนอกที่ทั้งไอออสและชวาร์ซไม่รู้จัก … มีพลังพอที่จะพาเดอะโซลเฟธหนีไป … และไว้ใจได้ว่าเขาจะไม่ใช้เดอะโซลเฟธไปในทางที่ผิด … เฮ้อ—.. ไม่มีหรอกๆ เราจะไปรู้จักใครแบบนั้นได้ยังไง … อะ— … จริงสิ!!)”

*ตึก ตึก* นาวาเดินกลับมาหาลูเซียพร้อมยื่นถ้วยโยเกิร์ตแช่แข็งที่ตกแต่งด้วยผลไม้หลายชนิดให้ลูเซีย

“อ่ะ” นาวาพูด “แหะๆ ข้าเป็นผู้ให้แล้วนะ เห็นไหม”

“เจ้า.. เจ้ามีเงินอยู่เท่าไรกัน ทำมาเป็นซื้อของให้ข้า”

“รับไว้เถอะนะ” นาวายิ้ม “พอดีข้าพอมีเงินค่าขนมที่ป้าให้ต้นสัปดาห์ …มีอยู่ 20 โฮล”

ลูเซียยื่นมือรับไว้ตามที่นาวาขอ “มีเงินอยู่แค่ 20 โฮล— ริอาจจะมาซื้อของให้คนในวังอย่างข้า … บ้าจริงๆ”

“ก็ซื้อได้แค่นี้แหละ… ข้าลองมาคิดดูถึงคำพูดของเจ้าที่บอกให้ข้าลองดูตัวเอง ว่าสามารถทำอะไรให้คนอื่นได้บ้าง .. ข้าเห็นเจ้าร้องไห้เป็นสายน้ำ คงมีเรื่องทุกข์ใจมาก … ข้าเลยอยากให้อะไรกับเจ้าน่ะ .. เอ่อ.. เป็นการขอโทษด้วยที่ข้าพูดไม่ดีตอนอยู่ในถ้ำวงกต ว่าคนรวยๆอย่างเจ้าคงไม่มีทุกข์อะไร … ข้า.. ขอโทษนะ… ข้ามันปากพล่อยไปเอง”

ลูเซียนั่งจ้องถ้วยโยเกิร์ต เงียบไปพักหนึ่ง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาจ้องตานาวา “จริงๆแล้ว— เจ้าสามารถทำให้ข้าได้มากกว่านี้นะ”

“..? ข้า..ทำได้มากกว่านี้??”

“ใช่! อาจจะมีเจ้าเพียงคนเดียวเลยด้วยซ้ำที่สามารถทำสิ่งนี้ได้”

นาวาแสดงสีหน้าสงสัย “เจ้าพูดอะไรของเจ้าเนี่ย..!? ดูจริงจังมากเลย”

ลูเซียลุกยืนขึ้น สายตายังคงจ้องไปที่ดวงตาของนาวาที่พยายามกลอกไปมาเพื่อหลบสายตาของเธอ “นาวา.. ข้าพอรู้แล้วว่าเจ้าเป็นใคร… เจ้าฝึกวิชาหนักมากที่จูปิรอสจนไม่รู้เรื่องราวของโลก… เจ้าเป็นลูกศิษย์ของตระกูลโครนอสใช่ไหม? แต่เจ้าต้องไปอยู่กับลุงของเจ้า เพราะท่านมาริโออาจจะเสียชีวิตไปโดยที่ไอออสยังไม่รู้.. แล้วไม่มีใครดูแลเจ้า .. ใช่ไหม นาวา!? ตามหลักมีดโกนอ๊อกคัมแล้ว ข้าคิดว่ามันคงจะเป็นแบบนี้ ไม่เช่นนั้นก็แปลว่าเจ้าหลอกข้ามาตลอด … เจ้าไม่ได้หลอกอะไรข้าใช่ไหมนาวา!?”

“อะ..เอ่อ..” นาวาพูดอย่างตะกุกตะกัก “ละ..ลูเซีย.. ฟังนะ.. ข้าน่ะ…”

จู่ๆ ลูเซียก็คุกเข่าลงต่อหน้านาวา แล้วร้องขอ “เจ้ากำลังจะปฎิเสธคำขอร้องของข้าใช่ไหม? ได้โปรดพิจารณาใหม่เถอะ ข้าขอร้องละ… มีเจ้าคนเดียว.. เจ้าคนเดียวที่จะพาเดอะโซลเฟธหนีไปได้ … ได้โปรดนาวา.. ถือว่าทำเพื่อข้า ทำเพื่ออาณาจักรของพ่อเจ้า ทำเพื่อท่านมาริโอด้วย… ข้าไม่รู้จะพึ่งพาใครแล้วจริงๆ”

นาวานั้นไม่เข้าใจสิ่งที่ลูเซียพูดเลยสักนิด แต่การที่เพื่อนผู้หญิงนั่งคุกเข่าต่อหน้าร้องขอให้นาวาทำเพื่ออาณาจักรนั้น เป็นอะไรที่นาวาปฎิเสธไม่ได้เลยจริงๆ

“เอ่อ… ได้สิ ถ้ามีข้าคนเดียวที่ช่วยเจ้าได้ ข้า… เอ่อ ข้าก็ต้องช่วยสิ” นาวาตอบไปด้วยความลังเล