ตอนที่ 9 สวนสนุกนูทรอลเลีย ๒

by thesolfaith

“มะ..ไม่จริงน่ะ!!?? จะ..เจ้า..!!..เจ้าคือ….!!!”

“ใช่แล้ว.. ที่ข้าต้องปิดหน้าปิดตาก็เพื่อไม่ให้ผู้คนจำข้าได้…แต่.. ข้า…ข้าไม่อยากหลอกเจ้าไปมากกว่านี้…”

“เจ้าคือ… คือคนที่มีดวงตาที่สวยที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมาในชีวิต!!” นาวาชม ด้วยสายตาแสดงความจริงใจอย่างเต็มล้น

“หะ..หา!!??” ลูเซียส่งเสียงแบบงงๆ ตั้งตัวไม่ทัน

“ใช่!! ข้าชอบตาสีฟ้าของเจ้ามากเลย เจ้าจะปิดมันด้วยแว่นดำไปทำไมกัน?”

“หึหึ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ จะ.. เจ้าไม่รู้จริงๆ เหรอเนี่ยว่าข้าเป็นใคร”

“..??” นาวาขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“หึหึหึ มีจริงๆ เหรอเนี่ย คนที่ไม่รู้อะไรสักอย่างแบบเจ้าเนี่ย!?”

“…เหมือนถูกแอบด่าว่าโง่ยังไงก็ไม่รู้แหะ”

ลูเซียเริ่มพยายามกลั้นหัวเราะ “ข้ายอมเผยตัวจริงของข้าให้เจ้าเห็น… แต่เจ้าไม่รู้เองก็ช่วยไม่ได้ …คราวนี้ถึงคราวเจ้าแล้วล่ะ ยิ่งคุยกับเจ้า—ก็ยิ่งทำให้ข้าสงสัยมากขึ้น … รู้เรื่องมีดโกนอ๊อกคัม ทั้งเรื่อง 270 ล้านชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร … นาวา— เจ้าเป็นใครกันแน่??”

นาวาหลบตาลูเซียแล้วก้มลงมองโขดหินที่ทั้งสองนั่งอยู่ “ข้าน่ะ… จริงๆ แล้วข้าเป็นเพียงแค่…”

ในวินาทีนั้นมีเสียงดังมาจากทางที่นาวาและลูเซียเดินผ่านมา “ดูสิแม่! จากทางแคบๆ มาถึงแอ่งน้ำโถงโปร่ง สวยงามมากๆเลย!!”

*ควับ* ลูเซียรีบคว้าแว่นดำมาสวมด้วยความเร็วแสงทันทีที่ได้ยินเสียงของคนอื่น

“สงสัยเราจะพักกันนานไปหน่อย จนคนข้างหลังตามมาทัน” นาวาเดาสถานการณ์ แล้วลุกขึ้นยืน มองไปที่ผู้หญิงสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในระยะสายตา

“สวัสดีครับ” นาวาทักทายด้วยเสียงดัง คลื่นเสียงสะท้อนไปมากับน้ำที่พื้น และผนังถ้ำ

“สวัสดีๆ” ผู้หญิงคนหนึ่งรับคำทักทายของนาวา

“ผมชื่อนาวาครับ แล้วนี่ ลูเซีย เพื่อนของผม ต้องขอโทษจริงๆ ครับ เราสองคนนั่งคุยกันจนลืมเวลา” นาวาทำท่าขอโทษ เอามือหนึ่งไปลูบที่หลังศีรษะ

“ไม่เป็นไรหรอก พวกเรากำลังเหงาๆเลย เพราะปกติไปไหนมาไหนกันสี่คนพ่อแม่ลูก…. อ้อ! เราสองคนครอบครัวไวทีก้า แล้วนี่ลูกสาวน้า คาร์เนีย”

—«§¤§»—

ตะวันเริ่มเอนเอียงไปทางทิศตะวันตก บอกเป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมง

คาห์เนิร์ลและพ่อ เพิ่งเดินมาถึงเรือไม้ขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่สุดทิศใต้ของสวนสนุกนูทรอลเลีย

“สุดยอดเลยนะพ่อ!! เรือมหึมาเป็นพิพิธภัณฑ์หุ่นจำลองของมอนสเตอร์ทั้งหมดในทวีปมิดมาเรีย!!” คาห์เนิร์ลเดินนำหน้าพ่อขึ้นเรือด้วยแผ่นไม้ใหญ่ที่วางทาบเป็นทางขึ้นสู่ประตูมหึมาของเรือยักษ์

พอเข้ามาด้านในเรือ ก็เริ่มเห็นหุ่นมอนสเตอร์ ที่จัดเรียงกันเป็นกลุ่มๆตามฉากด้านหลังเป็นทิวทัศน์ตามภูมิประเทศที่มอนสเตอร์ตัวจริงอาศัยอยู่ เหมือนเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์ป่ายังไงยังงั้น

“พ่อ! ตัวนี้ผมเคยเห็นตอนผมขึ้นรถเมล์ออกไปเที่ยวที่ริมเคโมสเฟียที่บ้านเรา… บัทเทอร์ฟลาย (Butterfly)(ผีเสื้อ) หุ่นเหมือนตัวจริงมากๆ อะ!!” คาห์เนิร์ลส่งเสียงด้วยความตื่นเต้น พลางเอาสองมือลูบคลำหุ่นจำลองนั้น

มิสเตอร์ไวทีก้าค่อยๆ เปิดปาก เหมือนกำลังจะบอกลูกชายถึงอะไรสักอย่างที่ต้องใช้ความกล้าในการพูด “ดูเราจะชอบโลกภายนอกเคโมสเฟียมากๆเลยนะคาห์น… เอ่อ… เตรียมใจไว้บ้างก็ดีนะลูก… พ่อไม่ได้จะบอกว่าให้เลิกฝันนะ… แต่แค่เตือนให้เตรียมใจในฐานะพ่อ”

“ดูสิพ่อ! ฟลาย!! (Fly)(แมลงวัน)” คาห์นเนิร์ลทำเหมือนไม่ได้ยินที่พ่อพูด แล้วค่อยๆเดินไปที่มอนสเตอร์ฟลาย เริ่มทำตาเศร้าๆ “ผมเข้าใจดีพ่อ… ว่าฝันของผมมันคงไม่มีวันเป็นจริง… ผมรู้ดี… คนธรรมดาอย่างพวกเราจะทำอะไรได้ เราไม่ได้เกิดมามีพลัง มีความสามารถเหมือนคนนอกทวีปนิ… ..เฮอะ—! คิดแล้วก็แค้นใจพวกที่เกิดมาแล้วมีพรจากสวรรค์โดยไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องสู้อะไรเลย …คนก็นับถือชื่นชม อยากจะหยิ่ง อยากจะเห็นแก่ตัวยังไงก็ไม่มีใครว่า… แต่เราๆสิ— โตมาด้วยคำสอนของพ่อแม่—ของคุณครู ว่าพวกเราดันซวยเกิดมาเป็นคนธรรมดา… ว่าการฝันถึงโลกภายนอกนั้นเป็นแค่การหลอกตัวเอง …. แต่พ่อ! แม้แต่ทาสในอดีตยังร้องเพลงด้วยความหวัง… …ความเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้ทำให้มนุษย์เราหมดความหวังใจหรอกครับ!”

“เฮ้อ—” มิสเตอร์ไวทีก้าถอนใจ “ลองนึกดู— พ่อเองก็เกิดมาใต้ยุคของเคโมสเฟีย… แย่ยิ่งกว่าเราอีก.. เพราะพวกผู้ใหญ่มักจะเล่าถึงโลกภายนอกที่เขาได้มีโอกาสได้ดูชม… ตอนพ่อเด็กๆ พ่อมักจะคิดเสมอว่าทำไมถึงซวยอย่างนี้.. ที่ดันเกิดมาเป็นเด็กรุ่นแรกใต้เคโมสเฟีย รุ่นแรกใต้การรุกรานของมอนสเตอร์… พ่อน้อยใจโชคชะตามากๆ ..คิดว่าท่านที่อยู่บนฟ้า ผู้สานโชคชะตาของเด็กรุ่นพ่อนั้นใจร้าย… แต่.. พอโตมาก็เริ่มมองเริ่มคิดในมุมมองอื่นบ้าง.. ยุคก่อนพ่อนะ แม้พวกเขามีอิสรภาพที่เราไม่มี แต่เขาต้องสะดุ้งตื่นตอนกลางคืน หนีไปที่หลบภัยเพราะสงคราม …เขาไม่เคยมีความอุ่นใจในชีวิตเลย …แต่ดูพวกเราสิ— เราลืมนึกถึงสิ่งที่เรามีแถมยังเอาแต่ว่ามันเสียๆหายๆ… เรามีเคโมสเฟียเป็นหลังคากำบัง ที่แม้สงครามจะเกิดพวกเราก็ปลอดภัย …ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอย่างปลอดภัย… —แล้วพอพ่อเริ่มมีครอบครัว ..ได้มีเรา ได้มีคาร์เนีย …ความฝันของพ่อที่อยากจะผจญโลกภายนอกก็เปลี่ยนไป เพราะมีครอบครัวมาเติมเต็มแทน …ตอนนี้พ่อมีความสุขกับความจริง.. กับครอบครัวของเรา …และความจริงที่พวกเราได้อยู่อย่างปลอดภัยใต้เคโมสเฟีย”

—♠♣♥♦—

ครู่หนึ่งหลังจากนั้น

นาวา ลูเซีย คาร์เนีย และมิสซิสไวทีก้า กำลังเดินอยู่ในถ้ำวงกตที่ตอนนี้ทางนั้นมืดสนิท ที่พื้นจากเป็นน้ำตื้นๆก็กลายเป็นดิน ถ้ำที่เพดานมีรูให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามากลายเป็นถ้ำปิดมืดมิด มีเพียงแค่แสงไฟเหลืองๆ จากตะเกียงคริสตอลที่นาวาและมิสซิสไวทีก้าถืออยู่คนละตัว

“ดีนะ.. ที่มาพร้อมกันหลายคน บรรยากาศเริ่มน่ากลัว… จากแอ่งน้ำสีฟ้าใสระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์ เปลี่ยนมาเป็นทางมืดมิดแบบนี้— ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ” มิสซิสไวทีก้าเอ่ยขึ้น

“เหมือนชีวิตคนเราไงคะ… มีเวลาสวยงาม.. แล้วก็มีเวลาน่ากลัว …เปลี่ยนไปมาโดยที่เราเองตั้งตัวไม่ค่อยจะทัน”

“อืม.. พูดได้ดี แม่หนูลูเซีย”

“แต่รวยๆอย่างเจ้านะ ลูเซีย— คงไม่ค่อยได้เห็นเวลาน่ากลัวหรอกมั้ง”

“นาวา! จะหาเรื่องกันอีกแล้วใช่ไหม!?”

“หึหึหึ หรือว่าไม่จริง…?”

*ตึก ตึก ตึก* ทั้งสี่ค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง

บรรยากาศนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มิสซิสไวทีก้าจะเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง

“หนูสองคนที่มาเดทกันหรือเปล่าเนี่ย?”

“แม่คะ!! อยู่ๆไปถามอะไรเขาอย่างนั้น”

“ไม่!! ไม่ใช่ค่ะ! เราเป็นเพื่อนกันค่ะ” ลูเซียตอบอย่างรวดเร็ว

“ดีแล้ว.. ดูๆแล้วพวกหนูยังวัยเรียนอยู่เลย เรื่องมีความรักต้องระวังๆ ไว้บ้างนะ”

นาวาที่เดินนำหน้าอยู่ หันมามองลูเซีย แล้วหันกลับไปมองทาง “ไม่ได้มาเดทหรอกครับน้า ผมมันแค่ถูกชวนมาไว้กันเหงา”

“นาวา!!”

“หึหึหึ หรือว่าไม่จริง…?”

ทั้งสี่เดินหน้าไปตามทางมืด อยู่พักหนึ่งจนกระทั่งออกมาโผล่ที่โถงถ้ำกว้างอีกครั้ง แต่โถงนี้ไม่มีรูให้แสงอาทิตย์เข้ามา มีแสงสว่างจากคริสตอลมากมายหลากสี ติดอยู่ตามผนังถ้ำ ตามพื้น ตามหินงอกหินย้อย เป็นแสงสีรุ้งส่องประกายในถ้ำมืด

“ว้าว!!” นาวา มิสซิสไวทีก้า และคาร์เนีย อุทานพร้อมกัน สายตาเป็นประกายเหมือนจะส่องแสงแข่งกับคริสตอลในถ้ำ

“ทะ.. ที่นี่สินะ!! ที่เป็นแหล่งกำเนิดคริสตอลพวกนี้!!” นาวาทึกทักด้วยความตื่นเต้น

“ไม่หรอก” ลูเซียท้วงนาวา “ทวีปมิดมาเรียไม่มีแหล่งถ้ำคริสตอลหรอกนะ นี่เป็นแค่ของจำลองนะ”

“เอ่อ.. พอเห็นภาพแสงสว่างเป็นประกายในความมืดแบบนี้ก็หยุดนึกถึงภาพพระราชวังนูทรอลเลียไม่ได้เลยนะคะ” คาร์เนียเสนอสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจออกมา

“ใช่ๆ” มิสซิสไวทีก้าเห็นด้วยกับลูกสาว “เสียดายนะ— ที่พรุ่งนี้จะกลายเป็นงานไว้ทุกข์แทน… เอ้อ แม่พูดกับพ่อตอนเราอยู่ที่หอสมุดแล้วนะ ว่าพวกเราจะกลับบ้านกันเช้าพรุ่งนี้… ไม่อยากจะอยู่ไว้ทุกข์ …แค่นี้ชีวิตมีทุกข์มากพอละ”

“เอ่อ…” ลูเซียทำท่าเหมือนคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หยุดเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดปากให้มันออกมา “จริงๆแล้ว… พิธีหมั้นพรุ่งนี้ยังมีอยู่ค่ะ!”

“ห๊ะ!!??” นาวา มิสซิสไวทีก้า และคาร์เนีย อุทานเป็นทรีโอประสานเสียงกันอีกครั้ง สองแม่ลูกจ้องลูเซียตาไม่กระพริบ

“จริงๆค่ะ! แต่หนูขอร้องให้อย่าเพิ่งไปบอกใครนะคะ มันเป็นความลับของวังหลวง”

“…อ่า.. คะ..คือ— ลูเซียเขาทำงานในวังครับน้า” นาวาแทรกเข้ามาช่วยลูเซีย เพราะสองแม่จ้องจับโกหกลูเซียเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

มิสซิสไวทีก้าได้ยินนาวาคอนเฟิร์มก็หันไปบอกกับลูก “งั้นก็ดีสิ! เราก็อยู่ร่วมงานละกัน! เนอะ.. คาร์เนีย… แล้วก็บอกพ่อกับคาห์นนะว่า….”

นาวาจับแขนเสื้อของลูเซีย แล้วดึงลูเซียออกมาห่างจากสองแม่ลูกที่ยังคงคุยเรื่องแผนการในวันพรุ่งนี้ของครอบครัวพวกเขา

“เจ้าพูดอะไรของเจ้าเนี่ย!?” นาวากระซิบน้ำเสียงแดกดัน

“พูดความจริงน่ะสิ!”

“ความจริง!? เจ้าหญิงแห่งนูทรอลเลียยังมีชีวิตอยู่เหรอเนี่ย!? เป็นไปได้ไง!?”

“ปาฏิหาริย์ไง” ลูเซียตอบสั้นๆ แล้วเดินกลับไปหาสองแม่ลูกไวทีก้า

—♠♣♥♦—

เวลาเดียวกันนั้นเอง ที่ด้านนอกกำแพงด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระราชวังนูทรอลเลีย อีกด้านหนึ่งของกำแพงเป็น Library Complex

มีชายชุดสูทแว่นดำสองคนกำลังยืนมองกำแพงอยู่

“คาถาพลางตาของเจ้ายังไม่ถูกคลายด้วย! ปาฏิหาริย์จริงๆ” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“แต่แอร์… จะมีใครกันล่ะ.. ที่มาระเบิดหอแห่งความรู้แล้วช่วยพวกเราจากสเวนเซอร์เมื่อคืน? แถมดึงความสนใจไปที่หอสมุด จนทหารไม่มีเวลามาตรวจสอบกำแพง… มันจะไม่ลงตัวเกินไปหน่อยรึไง?”

แอร์แหงนหน้ามองท้องฟ้าโปร่งด้านบน “ธีอา เจ้ากำลังคิดว่ามันเป็นฝีมือของท่านอีรอสใช่ไหม?”

“ท่านผู้นำเมจิคัสสั่งให้พวกเราใช้งานพิธีพลางตัว แล้วเข้าไปขโมยเดอะโซลเฟธ… แล้วส่งมอบให้ท่านอีรอสนอกเมือง …เมื่อคืนท่านอีรอสอาจจะเห็นว่าพวกเรากำลังแย่ เลยลงมือช่วยเราก็เป็นได้” ธีอาเสนอไอเดีย

“ข้าไม่เห็นด้วยนะ.. ท่านอีรอสเป็นคนทวีปชวาร์ซ ..ถ้าท่านผ่านเข้ามาในเคโมสเฟียเมื่อคืน ก็คงมีเสียงไซเรน(Siren)ดังทั่วเมืองแล้วละ… แถมคาถาแฟลร์ ก็ไม่ใช่คาถาของคลาสของท่านอีรอสด้วย…”

“แอร์— จะต้องให้ข้าบอกเจ้าอีกกี่ทีว่าข้าไม่เชื่อในปาฏิหาริย์”

แอร์หันหลังให้กับกำแพง แล้วก้าวเท้าออกเดิน “เรารีบออกไปซ่อนตัวนอกเมืองเถอะ… เข้ามานานเกิน เดี๋ยวจะโดนล่าแบบเมื่อคืน”

“นั่นสิ! ถ้าโดนขึ้นมาละยุ่งเลย มานาของข้าหมดเกลี้ยงไปกลับคาถาลวงตาเมื่อคืนซะด้วย” ธีอาตอบเห็นด้วย

—«¤»—

ขณะนี้เวลา 16:00 น.

นูทรอลเลียที่ไม่มีเสียงจากหอนาฬิกาคอยบอกเวลา ช่างเป็นอะไรที่เงียบแปลกหูนัก

สองแม่ลูกไวทีก้ากำลังบอกลานาวาและลูเซียที่ทางออกถ้ำวงกต หลังจากที่ทั้งสี่เพิ่งเอาตะเกียงกับพลาสติกครอบรองเท้าไปคืนตรงบูทที่อยู่หน้าทางออก

“ถึงตาเจ้าเลือกแล้วละ ว่าจะไปไหนต่อ” นาวาเอ่ยพลางมองสองแม่ลูกไวทีกาเดินหายเข้าไปในหมู่คน

“อืม..” ลูเซียเริ่มใช้ความคิด “ข้าไม่ชอบขับรถเครื่องเล่น.. ไม่ชอบเครื่องเล่นหมุนๆ ..แล้วก็ไม่อยากถอดแว่นด้วย… จริงสิ! เราไปดูหุ่นจำลองมอนสเตอร์ที่เรือยักษ์กันไหม!?”

“ไม่ไปได้ไหมอะ” นาวาขัด

“ทำไมล่ะ!?”

“ข้าไม่อยากเห็นอะไรที่จะทำให้ข้าต้องเจ็บปวดมากขึ้นกับความฝันของข้า… ถือว่าครั้งนี้ข้าขอนะ..”

“ความฝัน..? เจ็บปวด..?” ลูเซียทำหน้าสงสัย “อ่า.. งั้นไปวินด์สเกท(Wind-Skate)ที่เขาหิมะดีไหมละ!?”

“วินด์สเกท??”

ลูเซียมองนาวา แล้วฉีกยิ้มกว้าง “ก็เหมือนไอซ์สเกทน่ะแหละ! แต่รองเท้าสเกทเป็นรองเท้าบรรจุเอเลเมนท์ลม เลยทำให้รูปร่างเหมือนรองเท้าธรรมดาๆ ใส่แล้วสบายเท้ากว่าเยอะเลย… แถมใช้สกี(Ski)ลงเขาได้ด้วย! มาๆ ทางเข้าอยู่ตรงหน้านั้นเอง”

แล้วทั้งสองก็ขึ้นลิฟท์ที่อยู่ไม่ไกลจากถ้ำวงกตเพื่อขึ้นไปบนภูเขาเทียมที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

»»»

*โครม โครม* เสียงนาวาล้มหลายหนขณะพยายามยืนบนแอ่งน้ำที่แข็งเป็นน้ำแข็งบนยอดเขาหิมะ หลังจากเพิ่งใส่รองเท้าวายุที่ได้จากทางสวนสนุก

*เฟีย~ว* เด็กเล็กๆ คนหนึ่งสเกทผ่านหน้านาวาไปอย่างนุ่มนวล

“อ้าวๆ! ไอ้หนู.. นี่กำลังดูถูกกันใช่ไหมเนี่ย!?” นาวาขยับไปมาพยายามจะลุกขึ้นยืน

“หุหุหุ” ลูเซียหัวเราะพลางสเกทเป็นวงกลมรอบๆนาวา “ไปหาเรื่องเด็กอีกนะ หุหุ เจ้านี่ไม่ไหวเลยจริงๆ …อย่างน้อยข้าก็รู้แล้วว่าพลังเอเลเมนท์ของเจ้าไม่ใช่พลังลม ..เพราะเจ้าไม่มีทักษะทรงตัวเลยสักนิด หุหุ”

“อย่ามาดูถูกนาวาชายชาตรีนะเฟ้ย!” นาวาลุกขึ้นยืนด้วยสายตามุ่งมั่น แล้วพุ่งไปในทางที่ไม่ค่อยมีคนด้วยความเร็ว “เป็นไงละ!! ของแค่นี้! ข้าทำได้สบายๆ!”

“นาวา!! ทางนั้นมันทางลงเขา สำหรับไว้วินด์สกี (Wind-Ski)!!”

*คลุก! คลุก! โครม! โครม! กลุก กลุก กลุก..*

*เฟียว~วว* ลูเซียสกีลงมาจากเขาด้วยความเร็ว แล้วเริ่มมองหานาวา

“แจ๋วไปเลย! ประมาณ 5 กิโล เลยนะนั่น ที่กลิ้งลงมา… โอยย..” เสียงนาวาดังมาจากทางด้านหน้าของลูเซีย “ยิ่งหนาว ยิ่งเจ็บมากขึ้นอีก!”

ลูเซียก้มลงพยุงนาวาที่นอนคว่ำอยู่ในหิมะ “ข้าขอโทษนะ— ที่พาเจ้ามาเจ็บ หึหึหึ”

“เกือบซึ้งละ!! ถ้ากลั้นขำได้อีกนิดนี่ซึ้งเลย!!”

“หึหึ เราขึ้นลิฟท์เอารองเท้าไปคืนแล้วไปขึ้นสถานีรถไฟเหาะบนเขากันดีกว่า ดูท่านายจะเดินไม่สะดวกไปอีกสักพัก นั่งรถไฟเหาะรอบสวนสนุกกันดีกว่า”

»»»

รถไฟเหาะนั้นเป็นรถไฟไม่มีหลังคา ถูกสร้างขึ้นหวังจะให้เป็นระบบขนส่งของสวนสนุกนูทรอลเลีย โดยมีสถานีตั้งอยู่ตามจุดสำคัญๆ  ทว่าคนที่มาเที่ยวนั้นไม่ค่อยใช้มันเดินทางทางเท่าไรนัก เพราะรถไฟแต่ละเที่ยวมักจะเต็มไปด้วยคนที่อยากจะนั่งมันไปรอบๆ เพื่อจะชมวิวรอบๆสวนสนุก  รถไฟขนส่งนี้เลยฟลุ๊คกลายเป็นเครื่องเล่นของสวนสนุกจนถึงวันนี้

สวนสนุกนูทรอลเลียเป็นสวนสนุกที่ใหญ่มาก มีพื้นที่รวมแล้วเกือบๆ 1 ใน 8 ของพื้นที่ทั้งหมดของนครนูทรอลเลีย ซึ่งนูทรอลเลียเองจริงๆแล้วเป็นเกาะ ตั้งอยู่ตรงกลางเชื่อมระหว่างแผ่นดินนิสทรัมกับแผ่นดินไมเร

“นี่มันใหญ่สุดๆไปเลย!!” นาวาร้องอย่างตกใจ หลังจากที่รถไฟเหาะเริ่มเคลื่อนที่ออกตามท่อแก้ว ที่เหมือนหลอดแก้วขนส่งของหอสมุด เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก เพราะต้องจุรถไฟทั้งคันข้างใน

*เฟียวว*

“เชื่อไหมว่านี่ยังไม่ใช่สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ลูเซียเริ่มให้ความรู้กับนาวา

“ห๊ะ!? ยังจะมีใหญ่กว่านี้อีก!? จะใหญ่ไปไหนเนี่ย? แทนที่จะเอาเงินไปช่วยคนจน”

“เฮ้อ~” ลูเซียถอนใจ “นาวา… เลิกคิดอะไรแบบนี้เถอะ.. ลงเป็นแบบนี้ เจ้าจะมีแต่คิดร้ายๆต่อคนอื่น… สวนสนุกมันก็เป็นธุรกิจหนึ่งนะ เขาก็ต้องขยับขยายให้มันใหญ่โตสิ คนจะได้อยากมาใช้งานมาอุดหนุน”

“ไม่!” นาวาตอบเหมือนเด็กเล็กๆ

“นาวา” ลูเซียเรียกนาวาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เชื่อไหม แม้เจ้ากับข้าและอาณาจักรของเราจะรวมเงินทั้งหมดแล้วเอามันไปให้คนจน คนจนก็ไม่หมดไปจากโลกหรอกนะ …เจ้าอย่ามองอะไรแค่ผิวเผิน แล้วตัดสินว่าคนอื่นๆเขาทำผิดสิ พวกคนรวยๆบริจาคเงินให้คนยากไร้ก็มีเยอะนะ”

“เฮอะ!” นาวายังคงไม่เห็นด้วย

“เจ้าลองมองดูรอบๆสิ… มองดูหอนาฬิกาไกลๆนั่น… กับสวนสนุกนี่… มองดูถึงสิ่งที่พระราชาของเราได้ทรงทำไว้.. หอสมุดก็มีไว้เพื่อให้ความรู้ และสวนสนุกก็เป็นที่พักผ่อนใจไว้เติมไฟให้พวกเราได้มีแรงศึกษาต่อที่หอสมุด …พระองค์ไม่ได้ทรงทำให้กับคนจนคนหนึ่ง หรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง แต่ทำให้กับสังคมของเรา …ถ้าให้เพียงแค่เงินอย่างเดียว สักวันมันก็คงหมด …ถ้าให้ความช่วยเหลือเรื่อยๆ แต่ไม่ให้สอนอะไรเขาเลย เขาก็อาจจะต้องพึ่งพาเราจนทำอะไรเองไม่ได้ …แต่ถ้าให้ความรู้ ให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่ให้ความรัก มันคงไม่ใช่การให้ที่แท้จริง เป็นเพียงแค่การกระทำตามหน้าที่เท่านั้น”

“เฮอะ!”

“เฮ้อ— ข้าหวังว่าสักวันเจ้าจะเข้าใจ” ลูเซียถอนใจ

นาวาที่เหมือนจะไม่ค่อยอยากจะฟังสิ่งที่ลูเซียสอน กวาดตามองไปเรื่อยเปื่อย จนเหลือบไปเห็นนาฬิกาข้อมือของคุณลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้า

“ลุงครับ!! นี่มันกี่โมงแล้วครับ!?” นาวาถามขึ้นอย่างร้อนรน

“เอ้อ… นี่ก็ห้าโมงกว่าแล้วพ่อหนุ่ม” คุณลุงตอบนาวาหลังจากก้มมองดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือตัวเอง

“แย่แล้ว!! พ่อข้าประชุมเสร็จตอน 4 โมงครึ่ง!! พ่อวิ่งหาตายแล้วมั้งป่านนี้ ไม่รีบกลับไปมีหวังโดนด่าเละแน่เลย!”