ตอนที่ 8 สวนสนุกนูทรอลเลีย ๑

by thesolfaith

“นะ…นี่!!” นาวาพูดอย่างตะกุกตะกัก พร้อมยืนสร้อยที่ถืออยู่ในมือที่สั่นเทาให้ลูเซีย “นี่สร้อยของเจ้า… แล้วอย่าจับข้าไปขังอะไรเลยนะ… ได้โปรดพาข้ากลับเข้าไปในเคโมสเฟียของวัง… แล้วข้าจะไม่ขัดขวางการทำงานของเจ้าอีกเลย ขะ..ข้าผิดไปแล้ว องครักษ์ลูเซีย”

“หุหุหุ” ลูเซียเริ่มหัวเราะแล้วคว้าสร้อยกุญแจซอลจากมือนาวา “ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าก็ได้… แต่มีข้อแม้นะ หึหึ”

“ขะ..ข้อแม้!?”

“อืม… เอาแบบนี้ดีไหม… เจ้าต้องไปสวนสนุกนูทรอลเลียเป็นเพื่อนข้า”

“ห๊ะ..!?”

แล้วลูเซียก็เริ่มเดินนำทางไปที่ทางลงสู่สถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูพระราชวัง

“อะ..เอ่อ..” นาวาลุกลี้ลุกลนจะพูดอะไรสักอย่าง

“ว่าไง นาวา?” ลูเซียหันมาถามนาวา

“ข้า..ข้าไม่มีเงินพอจะขึ้นรถไฟหรอกนะ.. ยิ่งค่าเข้าสวนสนุกยิ่งไปใหญ่เลย… อะ..เอ่อ…ข้า..”

ลูเซียยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบอย่างน่ารัก “ข้าเป็นคนขอให้เจ้าไปเป็นเพื่อนข้านะ ข้าก็ต้องเลี้ยงเจ้าสิ จริงไหม?”

นาวาเริ่มแสดงสีหน้าเป็นกังวล “ไม่ได้… เจ้าจะมาเลี้ยงข้าได้ยังไง ข้าไม่ยอมหรอก”

“หรือว่าเจ้าอยากโดนจับไปขัง ข้อหาขัดขวางการทำงานขององครักษ์?”

“ไม่!” นาวาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่อยากโดนจับขัง แล้วก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใครด้วย!”

“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ” ลูเซียหัวเราะ “เจ้า— จะทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตไปอีกนานเท่าไรกัน”

“วะ..ว่าไงนะ!?”

ลูเซียหยุดหัวเราะ แล้วเปลี่ยนอารมณ์ในทันใด ด้วยเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้าอยู่ข้างในลึกๆ “ถือซะว่าเป็นการขอบคุณ ที่เจ้าหาสร้อยนี่เจอ… ขอร้องละ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะมีโอกาสได้มีอิสระแบบนี้”

นาวาที่อยากจะปฎิเสธ แต่โดนคำพูดและน้ำเสียงของลูเซียห้ามไว้ ได้แต่คิดอยู่ในใจถึงคำพูดเศร้าๆ ของลูเซีย

ขณะที่ทั้งสองลงบันไดเลื่อนสู่สถานีรถไฟใต้ดินนั้น ครอบครัวไวทีก้าก็กำลังเดินออกมาจากเคโมสเฟียของพระราชวัง

“นี่! เราไปทานบุฟเฟ่อาหารนูทรอลเลียร้านนั้นกันนะ ร้านที่อยู่ตรงทางลงสถานีรถไฟใต้ดิน .. น่ะ!..ตรงนั่นน่ะ!” มิสซิสไวทีก้าพูด พลางชี้ไปทางที่นาวากับลูเซียเพิ่งเดินไป

“อาหารนูทรอลเลียขึ้นชื่อเรื่องบำรุงร่างกาย มีแต่ของดีต่อสุขภาพ… เพราะงั้นวันนี้กินกันให้เต็มที่เลยนะ” มิสเตอร์ไวทีก้าสนับสนุนด้วยความตื่นเต้น

“ว่าแต่พ่อ แม่— ผมเข้าใจนะ ว่ามันเป็นเรื่องเศร้าที่เจ้าหญิงสิ้นประชนม์ แต่ทำไมดูเหมือนพวกคนนูทรอลเลียถึงดูมีสีหน้าแบบว่า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ซังกะตายกันหมดทุกคนเลยอะ” คาห์เนิร์ลถาม ขณะเดินอยู่ข้างๆน้องสาว ตามพ่อกับแม่ที่กำลังมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารบุฟเฟ่ตรงทางลงสถานีรถไฟ

“นั่นน่ะสิคะ พ่อ” คาห์เนียเองก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่

“อืม..” มิสเตอร์ไวทีก้าเริ่มสอนลูกเรื่องประวัติศาสตร์ “เขาว่ากันว่าพระราชินีผู้เป็นแม่ของเจ้าหญิงเอมิลีเป็นต้นตอของการปรากฎตัวของเหล่ามอนสเตอร์นะ”

“!!??”

“อะไรเกี่ยวกับสงครามโลก แล้วก็สงครามเย็นนี่แหละ เมื่อศตวรรษที่ผ่านมา”

“ไม่เห็นว่าพ่อจะตอบคำถามของพี่คาห์นเลย ว่าทำไมชาวนูทรอลเลียถึงเป็นทุกข์เป็นร้อนนักที่สูญเสียเจ้าหญิงไป” คาร์เนียยังคงไม่คลายความสงสัย

“ก็เป็นเพราะเจ้าหญิงเอมิลีนี่แหละ— ที่เมื่อ 6 ปีที่แล้วได้หยุดแผนการเปิดสงครามของพระราชินี แล้วกลายเป็นเครื่องหมายแห่งความสงบสันติ… ที่สงครามเย็นจบลง— ก็หลังสนธิสัญญาที่ทำขึ้นสำเร็จได้เพราะเจ้าหญิงเอมิลี ในวันสิ้นพระชนม์ของพระราชินี … แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่าประหลาดใจอยู่นะ…”

“อะไรคะ พ่อ?”

“ก็ชาวเมืองนูทรอลเลียเหมือนจะรักพระราชินีมากๆ น่ะสิ ..ทั้งๆ ที่พระองค์ทำกับทวีปเราถึงขนาดนั้น… อืม… อาจเป็นเพราะประวัติศาสตร์ที่พวกเราเรียนถูกบิดเบือนนะ ..มีความเป็นไปได้สูง”

คาห์เนิร์ลเงียบ ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แล้วก็ชูดาบของเล่นที่ปกติจะสะพายไว้ที่หลัง “แสดงว่าต้องเป็นนักรบเก่งกาจของไอออสเท่านั้น ที่จะมีโอกาสได้เรียนรู้ความจริงสินะ… งั้นผมนี่แหละ!! จะเป็นผู้ที่จะนำความจริงมาบอกทุกคนเอง!! เย้!!”

ส่วนสามพ่อแม่ลูกผลีกตัวออกจากคาห์เนิร์ลอีกครั้ง แล้วกระซิบกัน “เอาอีกแล้ว… ทำเป็นไม่รู้จักไว้ๆ”

>>>

ที่ด้านล่างใต้ดินของร้านอาหารบุฟเฟ่ที่ครอบครัวไวทีก้ากำลังเดินเข้าไป เป็นสถานีรถไฟฟ้าที่ดูไม่ต่างจากรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงเทพ เพราะสร้างขึ้นโดยคนในทวีปมิดมาเรียที่ยังมีเทคโนโลยีสู้คนนอกทวีปไม่ได้

“อ่ะ— นี่ตั๋วของเจ้า” ลูเซียยื่นตั๋วที่เพิ่งได้รับมาจากเครื่องขายตั๋วหยอดเหรียญให้นาวา

“ขะ…ขอบใจนะ … ข้านี่มันเป็นผู้ชายที่แย่จริงๆ ที่ต้องให้ผู้หญิงอายุเท่าๆ กัน จ่ายค่าตั๋วให้” นาวาพูดด้วยสีหน้าเศร้า เหมือนคนกำลังผิดหวังในชีวิต

“เจ้าอายุ 12 นิ… เราอายุไม่เท่ากันนะ ข้าอ่อนกว่าเจ้าปีนึง หุหุหุ”

“…” นาวาเริ่มทำหน้าผิดหวังมากขึ้นกว่าเดิม

ลูเซียเมื่อเห็นสีหน้านาวาก็ยิ้ม “เจ้านี่…เก็บความรู้สึกไม่เป็นเลยจริงๆ นะ… —..อย่าคิดมากเลย คิดซะว่าตอนนี้เจ้าเรียนรู้ที่จะเป็นผู้รับที่ดี อีกหน่อยก็อย่าลืมก้าวขึ้นมาเป็นผู้ให้ละกันนะ”

*ครึก ครึก ครืนน* เสียงรถไฟฟ้าแล่นมาจอดที่สถานี

แล้วทั้งสองก็เดินขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินโดยมีเป้าหมายอยู่ที่สถานีหน้าสวนสนุกนูทรอลเลีย

—«§¤§»—

เวลา 13:41 นาฬิกา

วันนี้ดูเหมือนว่าที่สวนสนุกจะมีแต่นักท่องเที่ยวจากต่างเมือง แทบไม่มีชาวนูทรอลเลียให้เห็นเลย

นาวากับลูเซียเพิ่งเดินผ่านประตูสวนสนุกที่เป็นเสาสูงสองเสา มีป้าย ‘NEUTRALIA PARK’ อยู่ด้านบน มีป้อมขายตั๋ว 2 ป้อมตั้งอยู่ติดกับแต่ละเสา

“ดูสวนน้ำนั่นสิ!! สระว่ายน้ำใหญ่เป็นกิโลๆ ตรงจุดนั้นเป็นหลั่นๆ เหมือนขั้นบันไดเลย ว้าวๆ …  ว้าว!! สไลเดอร์สูงมาก ใหญ่ด้วย!! เราไปเล่นที่สวนน้ำกันนะลูเซีย!!” นาวาปลดปล่อยความมเป็นเด็กออกมาเต็มที่ ฉีกยิ้มกว้างให้ลูเซีย

“เอ่อ… อย่าดีกว่านะ… ข้าไม่อยากถอดชุดน่ะ”

นาวาทำหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย “เฮ้อ… ไม่ไปก็ได้”

“อ่า… อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิ.. เอ้อ.. มาๆ ข้าจะเลี้ยงอาหารกลางวันเจ้าเป็นการขอโทษละกัน!”

ลูเซียเดินพานาวามาที่ใจกลางของสวนสนุกที่เป็นลานอาหารในห้องกระจกลูกบาศก์ขนาดมหึมา ด้านในห้องกระจกเป็นโต๊ะอาหารเรียงกันหน้าบูธขายอาหารหลายชนิด

ลูเซียเดินจากไปที่บูธขายอาหาร หายไปในหมู่นักท่องเที่ยวอยู่พักนึงก็เดินกลับมาหานาวาพร้อมถือห่อกระดาษรูปทรงกระบอกยาวประมาณหนึ่งศอกสองห่อในมือ แล้วยื่นห่อหนึ่งให้นาวา

“นี่มันอะไรเนี่ย?” นาวาถาม แล้วเริ่มแกะห่อกระดาษออก

“เมนูของนูทรอลเลีย เรียกว่า ‘ไทโก‘ ของเจ้าเป็นข้าวแกงเขียวหวานกับผักสลัดห่อด้วยแป้งนุ่มๆ… หรือเจ้าอยากได้ของข้าที่เป็นสลัดผัก เนื้อไก่อบกรอบกับซอส?”

“ไม่เป็นไร ข้าชอบแกงเขียวหวาน… ข้าชอบอาหารไทยที่สุด ไม่ว่าอาหารอื่นๆ จะดีหรือจะแพงแค่ไหนก็ตาม” นาวาเริ่มทานไทโก พลางมองไปรอบๆ ก่อนจะเสนอขึ้น “เราไปถ้ำวงกตกันนะ อยู่แค่ตรงนั้นเอง”

>>>

“เขาว่าด้านในของถ้ำวงกตสวยมากเลยนะ เราไปที่นั่นกันเถอะ” มิสซิสไวทีก้าพูดกับครอบครัวที่เพิ่งเดินผ่านประตูนูทรอลเลียปาร์คเข้ามา

“แต่ผมอยากไปดูหุ่นมอนสเตอร์จำลองมากกว่า”

“คาห์น! จะไปดูให้เสียเวลาทำไม่ล่ะมอนสเตอร์จำลองเนี่ย กลับไปบ้านเดี๋ยวขับรถไปริมเคโมสเฟียแล้วนั่งคอยก็มีโอกาสได้เห็นละ ..ตัวเป็นๆ ด้วย”

คาห์เนิร์ลไม่ยอมแพ้ “นี่มันหุ่นจำลองของมอนสเตอร์ทั้งทวีปนะแม่ —ทั้งพวกที่อาศัยอยู่ตามดันเจียน (Dungeon) ด้วย ใช่ว่าคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ จะได้มีโอกาสเห็นมอนสเตอร์พวกนี้”

“ไม่เอา! มาที่นี่ทั้งที .. ก็ต้องไปดูถ้ำสวยๆ ขึ้นชื่อสิ!”

“อ้าว.. แต่ผมอยากไปดูมอนสเตอร์จำลองมากกว่านิ!!”

ทันใดนั้นมิสเตอร์ไวทีก้าก็เคลื่อนตัวมาแทรกกลางระหว่างสองคนที่กำลังเถียงกัน พร้อมเสนอข้อยุติ “เอาล่ะ— เดี๋ยวพ่อไปกับคาห์น แล้วแม่ก็ไปกับคาร์เนียละกัน …จะได้ไม่ต้องเถียงกัน”

>>>

ในถ้ำวงกตอันลือชื่อของสวนสนุกนูทรอลเลีย ที่เข้ามาแล้วเป็นทางแคบประมาณคน 5-6 คนยืนเรียงกันหน้ากระดาน มีหินงอกหินย้อยตามธรรมชาติ ที่เพดานถ้ำมีรูเป็นระยะๆ ให้แสงจากดวงอาทิตย์ ส่องเข้ามาเพื่อสะท้อนไปมาในถ้ำ

ที่พื้นเป็นน้ำใสๆ ตื้นๆ เปล่งประกายระยิบระยับด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ สะท้อนไปเป็นลายแสงน้ำไหลบนเพดานถ้ำ

*จ๋อม จ๋อม* เสียงฝีเท้าของนาวาและลูเซียเดินบนน้ำตื้นๆ ด้วยรองเท้าของพวกเขาที่ครอบด้วยพลาสติกแข็งรูปทรงเหมือนรองเท้าบูทที่ทางสวนสนุกให้ใส่ก่อนจะเข้ามาในถ้ำ

“ว้าวว!!” เสียงนาวาดังเอคโค่กึกก้องในถ้ำ

“อย่าเพิ่งหยุดเดินสินาวา เดี๋ยวคนข้างหลังก็ตามเราทันหรอก” ลูเซียพูด แล้วดึงเสื้อยืดของนาวาให้นาวาเดินตาม

“แน่ะ! เพราะเจ้าอยากอยู่กับข้าสองต่อสองละสิ”

“ใช่— แล้วก็ไม่… ข้าแค่อยากจะถามเจ้า ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ …แล้วถ้าคนข้างหลังตามมาทัน ข้าก็คงถามไม่ได้”

นาวาทำหน้าเหมือนกำลังเริ่มใช้ความคิดหนัก “อ้อ..อะ..เอ่อ..ข้า”

“เจ้าบอกข้าว่าเจ้าเป็นนักรบ” ลูเซียชิงพูดขึ้นมา “แล้วใช้สรรพนาม เจ้า-ข้า ผิวแทน ผมดำ ดูแล้วเหมือนมาจากแถวตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปโพเลสตาร์… ถ้าจะให้เดาเจ้าน่าจะมาจากสหพันธรัฐจูปิรอส (Jupiros Federation)”

“อะ..เอ่อ..” นาวาคิดในใจ “(จูปิรอส!? สหพันธรัฐ!? มันที่ไหนฟะนั่น??)”

ลูเซียเริ่มพูดตัดบทนาวาอีกครั้ง พลางเดินมือไพล่หลัง “อายุ 12 ปี แต่รู้ทฤษฎีมีดโกนอ๊อกคัม .. แล้วยังหาสร้อยกุญแจซอลเจออย่างง่ายดาย… ข้าคิดดูกี่ทีก็คิดว่าเจ้าไม่ธรรมดาแน่ๆ”

“(จะตอบกลับไปยังไงดีฟะเนี่ย?? มีดโกนอ๊อกคัมนั่นดันฟลุ๊คไปได้ยินพ่อพูดถึง ส่วนสร้อยก็ฟลุ๊คดึงขึ้นมาเฉยๆ เว้ย!!)” หลังจากคิดในใจอยู่พักใหญ่ นาวาก็เริ่มเอ่ยตอบลูเซีย “เจ้าเองก็ไม่ธรรมดานะ ปิดหน้าปิดตา .. เป็นองครักษ์ส่วนตัว แต่ดันมาเที่ยวแบบนี้ได้เฉย.. เจ้าหญิงเพิ่งถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยระเบิดก่อการร้ายอยู่หยกๆ”

“…อ่า..เอ่อ นั่นสินะ.. ข้าไม่ถามเรื่องของเจ้าก็ได้… เจ้ากำลังสื่อว่าต่างคนต่างก็มีความลับที่จำเป็นจะต้องปิดไว้สินะ”

นาวามองหน้าลูเซียที่ยังคงมีแว่นดำปิดบังดวงตาของเธอไว้ แล้วหันมองรอบๆ เพราะรู้สึกเกร็งๆไม่รู้จะพูดอะไร  ก่อนที่จะยกมือขึ้นแล้วชี้ไปข้างหน้า “ข้างหน้าเหมือนเป็นที่กว้าง ตรงนั้นมีโขดหินอยู่ ไปนั่งพักตรงนั้นกันเถอะ”

ทั้งสองเดินมานั่งบนโขดหิน แล้วมองสายน้ำและทิวทัศน์ในถ้ำ ที่เป็นโถงถ้ำและแอ่งน้ำกว้าง น้ำลึกขึ้นมาจนถึงประมาณน่อง ด้านบนถ้ำไม่มีเพดานถ้ำ ทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาอย่างเต็มที่จนสายน้ำใสเปล่งประกายเจิดจรัสยิ่งกว่าที่ทางที่เดินผ่านมา แสงสะท้อนจากน้ำไปยังผนังถ้ำทำให้เห็นเหมือนว่าผนังถ้ำนั้นมีชีวิตไหวไปมา

“ขอบคุณนะ… ที่พาข้ามาที่นี่… ข้าเองตั้งแต่เกิดมา— ก็เพิ่งมีโอกาสออกจากบ้านเกิดมาดูโลกภายนอกก็ครั้งนี้แหละ” นาวาพยายามที่จะเปลี่ยนบรรยากาศที่เงียบมาพักหนึ่ง

ลูเซียยิ้ม หันไปมองหน้านาวาแล้วหันกลับมามองสายน้ำใสประกายตรงหน้า “ข้าเองอยู่นูทรอลเลียมาทั้งชีวิต ก็เพิ่งมีโอกาสได้มาสวนสนุกอย่างอิสระแบบนี้ครั้งแรกนะ”

เริ่มมีสายลมอ่อนพัดผ่านมาโดนหน้าของนาวา ที่นั่งอยู่ข้างๆลูเซีย “ทำไมคนเราไม่รู้เลยนะ— ว่าหลายครั้งเราปิดโอกาสของคนอื่น… จะที่ไหนๆ ก็จะมีพวกทำนาบนหลังคนอื่น… แทนที่จะใช้ความฉลาดของตนมาทำให้หัวใจของคนอื่นพองโตด้วยความสุข…”

“..??” ลูเซียหันมามองนาวา ที่ทอดสายตาทั้งสองของเขาออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ผมสั้นๆของเขาไหวตามลม

“พวกคนรวยๆ … แม้รู้ว่ามีผู้คนกว่า 270 ล้านคนที่ทั้งชีวิตไม่เคยเห็นโลกภายนอกเลย ซ้ำยังถูกกดขี่ให้ทำงาน เพื่อให้พวกคนรวยมีเงินที่จะไปเที่ยวที่ต่างๆ …เอาเงินไปทิ้งกับเดอะคอนทิเนนทอลซะมากกว่าที่จะเอามาช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์… —..หรือว่า—พอมีมากไป ก็ทำให้นิยามของคำว่า ‘ความพอเพียง’ นั้นบิดเบือนไป…”  แล้วนาวาก็หันมาจ้องหน้าลูเซีย  “ตอนแรกข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นแบบคนรวยๆ พวกนั้น … เลยคิดจะใช้สร้อยบังคับให้เจ้าทำอะไรให้คนจนๆ อย่างข้าบ้าง… —..เจ้าบอกว่าตอนแรกๆเจ้าเกลียดข้า… ข้าเองพอเห็นเสื้อผ้าหรูๆ ที่เจ้าใส่แว๊บแรก— ข้าก็รู้สึกเกลียดเจ้าเข้าไส้ไม่แพ้กัน…”

“บางครั้งคนที่มีก็ไม่ได้มีอิสระมากไปกว่าคนที่ไม่มีหรอกนะ… —คนที่มีมากก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีความทุกข์เลยในชีวิต… และการไม่มีเลยก็ไม่ใช่ทางออกหรอกนะ เพราะถ้าทิ้งทุกอย่างไปแล้ว เราจะเอาอะไรไปช่วยคนอื่น”  ว่าแลัวลูเซียค่อยๆ เอื้อมมือขึ้นมาถอดแว่นดำออกช้าๆ  “บางครั้งคนเราก็หวังจะได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นมากเกินไป จนลืมคิดไปว่าเราเอง—แม้มีไม่มากนัก แต่บางทีก็สามารถช่วยผู้อื่นได้… —…ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดมันไม่ถูกทั้งหมดนะ ..เพราะถ้าเราเอาทรัพย์สินทั้งหมดบนโลกนี้มากองรวมกัน แล้วจัดสรรปันส่วนใหม่ให้ทุกคนบนโลกได้รับเท่าๆกัน —สุดท้ายเราคงจะกลับมาที่เดิม… สงคราม ความขัดแย้ง… คนที่โกงเขาก็คงยังจะโกงทุกวิถีทางให้ได้มา.. คนที่โดนกดขี่ก็คงยังหนีการข่มเหงไม่ได้ … คนที่ไม่มีความรู้ก็คงยังจะถูกหลอกไม่จบไม่สิ้น … —สุดท้ายแล้ว มันอยู่ที่ใจของพวกเรามากกว่าที่ต้องเปลี่ยน… เปลี่ยนมาทำในสิ่งที่พวกเราทุกคนทำได้— ให้ความรู้กับผู้อื่น ให้ความรักกับผู้อื่น.. นั่นแหละคือการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นในความคิดของข้า—”

ลูเซียพูดจบก็จ้องตากับนาวา ที่มีสีหน้าตกใจ หลังจากได้เห็นหน้าลูเซียชัดๆ โดยไม่มีแว่นตาบัง

“มะ..ไม่จริงน่ะ!!?? จะ..เจ้า..!!..เจ้าคือ….!!!”

ลูเซียหลับตา แล้วหันหน้าหลบนาวา “ใช่แล้ว.. ที่ข้าต้องปิดหน้าปิดตาก็เพื่อไม่ให้ผู้คนจำข้าได้…แต่.. ข้า…ข้าไม่อยากหลอกเจ้าไปมากกว่านี้…”