ตอนที่ 6 สร้อยคอกุญแจซอล

by thesolfaith

ค่ำคืนที่แสนยาวนานได้ปิดฉากลง ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงให้เห็นมาจากทิศตะวันออก ให้แสงแห่งความอบอุ่นกับมหานครนูทรอลเลีย

พระราชวังที่สะท้อนแสงตะวันยามเช้าเป็นภาพที่งดงามไม่แพ้วังในแสงไฟยามค่ำคืน เหมือนเป็นสัญลักษณ์สอนสิ่งมีชีวิตบนโลก ว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อวานนั้นผ่านพ้น ไม่มีสิ่งใดที่ร้ายแรงพอจะหยุดไม่ให้เช้าวันใหม่มาถึง— ไม่มีอะไรเลวร้ายจนเราไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้

เช้าวันนี้ไม่เหมือนทุกวัน แม้ว่าผู้คนยังคงแออัดเต็มถนนซอกซอย แต่เพราะเหตุผลอะไรสักอย่าง วันนี้ดูเหมือนเสียงหัวเราะของชาวนูทรอลเลียนั้นหายไป หรือว่าสาเหตุจะเป็นเพราะเมืองนูทรอลเลียวันนี้ไม่มีเสียงบอกเวลาดังกังวานของหอนาฬิกา?

“โอยย… รู้สึกอยากจะล้มลงไปนอนบนถนน ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย” นาวากับพ่อเดินออกมาจากประตูบ้านเกสท์เฮาส์เวลาเช้าตรู่

“บอกแล้วให้รีบนอน” มิสเตอร์นาร์สทดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเขา “งานประชุมเมืองจะเริ่มเก้าโมงที่พระราชวัง จากตรงนี้เดินไปใช้เวลาประมาณเกือบๆ สามชั่วโมง”

“ทำไมเราไม่ขึ้นรถไฟใต้ดิน… เฮ้อ.. ไม่ต้องตอบผมหรอกพ่อ ผมรู้ดี เพราะเราไม่มีตัง” นาวาเดินงัวเงียตามพ่อ มุ่งหน้าไปทางลานน้ำพุกลางเมือง

ระหว่างทางนาวาขอให้พ่อซื้อของหลายอย่างที่ตั้งร้านขายอยู่สองข้างทาง เช่น ลูกข่างที่หมุนด้วยพลังลม, สติ๊กเกอร์เรืองแสงคริสตัล, ตุ๊กตามอนสเตอร์ต่างๆ, เสื้อยืดและหมวกโลโก้ MMR, ชุดเกราะทหารนูทรอลเลียสำหรับเด็ก

แต่มิสเตอร์นาร์สทตอบประโยคเดิมทุกครั้งที่นาวาร้องขอให้ซื้อของให้  “โตแล้ว จะเอาของเล่นไปทำไม”

ทันทีที่สองพ่อลูกเดินผ่านบ้านสี่ชั้นหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ก่อนถึงลานน้ำพุประมาณ 700 เมตร ก็มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งเปิดประตู เดินออกมาจากบ้าน

“ไปไหนกันดี? คาร์เนีย (Carnia) คาห์น” มิสซิสไวทีก้า (Vitika) ถามลูกทั้งสอง

“มันก็ต้องหอสมุดนูทรอลเลียสิแม่!!” คาห์เนิร์ลตอบอย่างแข็งขัน “จะได้หาข้อมูลเกี่ยวกับโลกภายนอก แล้วยังได้มีโอกาสเจอเจ้าหญิง…”

“คาห์น! อย่าพูดถึงเจ้าหญิง” มิสเตอร์ไวทีก้ากระซิบกับลูกชาย “ข่าวเมื่อเช้า.. เจ้าหญิงเพิ่งสิ้นพระชนม์ไป ชาวนูทรอลเลียยังรับไม่ได้เพรา..ะ…”

“ห๊ะ..! เมื่อคืนเกิดระเบิดขึ้นตอนผมหลับ!?”

มิสซิสไวทีก้าทำเป็นไม่สนใจลูกชายที่ส่งเสียงดังแล้วหันไปถามลูกสาว “แล้วคาร์เนียละลูก อยากไปหอสมุดรึเปล่า..?”

“ก็ดีค่ะแม่ หนูก็อยากไปอ่านหนังสือวิชาการของนูทรอลเลีย แล้วเดี๋ยวเราไปสวนสนุกตอนบ่ายนะคะ” คาร์เนียตอบด้วยเสียงที่ฟังแล้วเป็นเด็กเรียนสุดๆ

“เยสส!! เอาล่ะ..! หอสมุดนูทรอลเลีย ท่านลอร์ดคาห์นกำลังจะไปหาเจ้าแล้ว!!” คาห์เนิร์ลพูดเสียงดัง พลางชูดาบของเล่น

ส่วนพ่อแม่และน้องสาวของคาห์เนิร์ลก็เริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน “อย่าไปมองคาห์นนะ ทำเป็นไม่รู้จักๆไว้ ทำเหมือนไม่ได้มาด้วยกัน”

—«§¤§»—

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป บนถนน Processional Way เหนือลานน้ำพุประมาณ 300 เมตร วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง มีเมฆเล็กน้อยถึงน้อยที่สุด อากาศไม่หนาวไม่ร้อน เป็นปกติของอากาศยามฤดูใบไม้ผลิของนูทรอลเลีย

*แซ่ด แซ่ด* ผู้คนซื้อขายของกันอึกทึก แม้คนส่วนมากจะทำหน้าเศร้า บึ้งตึง

“ทำไมล่ะพ่อ!!” เสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งดังแหลมแทรกเสียงของผู้คนบนถนน “มาถึงที่นี่ทั้งที.. รอมาทั้งชีวิต.. ได้ออกมาแบบนี้— แต่สวนสนุกก็ไม่ได้ไป แค่ลานน้ำพุก็ไม่ได้เข้าไปเล่น!! ทำไมมันถึงซวยอย่างงี้เนี่ย ที่เกิดมาเป็นลูกข…”

“นาวา!!” มิสเตอร์นาร์สทขึ้นเสียง ตรงกลางถนน ผู้คนเริ่มหันมามอง

“ทำไมล่ะ! ทำไมผมจะพูดไม่ได้ ทีลูกคนอื่นเขายังได้ออกมาเที่ยวกันทั้งครอบครัว!”

“นาวา!! บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าเอาคนอื่นมาเทียบ!!”

นาวาเถียงกลับ “ใช่!! พ่อบอกผมหลายทีแล้ว แต่ผมก็ยังถูกเอาไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่นที่เรียนได้เกรดดีกว่า!!”

มิสเตอร์นาร์สทไม่ตอบ ไม่มองนาวา แล้วทั้งสองก็เดินเท้าไปทางพระราชวังโดยไม่พูดกันสักคำเดียว

»»»

ทั้งสองใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ก็มาถึงงานประชุมเก้าโมงเช้าที่พระราชวัง โดยมีตัวแทนจากทุกๆ เมืองในทวีปมิดมาเรีย มาประชุมกัน ณ ห้องอาหารขนาดมหึมาของวัง โดยครอบครัวของตัวแทนเมืองสามารถออกไปเดินชมพระราชวังได้อย่างอิสระขณะที่ตัวแทนนั้นประชุมอยู่

นาวาไม่ได้เข้าไปในห้องอาหารกับพ่อเพราะยังโกรธกันอยู่ ส่วนมิสเตอร์นาร์สทเองก็ไม่ได้บังคับให้นาวามานั่งประชุมด้วย เพราะรู้ว่าถึงนาวาจะเดินเตร่ไปไหนก็ไม่สามารถออกจากเคโมสเฟียของตัววังโดยไม่มีผู้ปกครองนำออก เพราะนาวายังมีอายุไม่ถึง 18 ปี

นาวาเดินออกมาจากตัวปราสาท ที่ด้านหน้าของนาวาเป็นสวนกว้างสีเขียวร่มรื่น พุ่มไม้ถูกตัดเป็นรูปมอนสเตอร์ต่างๆ  มีทางเดินลาดไปทางด้านขวาของนาวา มีผู้คนแน่นทางเดิน

“ลุงครับ ทางเดินนี่ไปไหนเหรอครับ?” นาวาถามลุงคนหนึ่ง แล้วเดินอัดเข้ามากับคนในทางเดิน

“ไปหอสมุดไง พ่อหนุ่ม …หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของนูทรอลเลีย เป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก …มาแล้วได้ความรู้ แล้วยังได้มีโอกาสพบปะกับเจ้าหญิงที่แสนดี…” ลุงทำหน้าเศร้า เริ่มมีน้ำตาคลอ

“ละ..ลุง ลุงจะร้องไห้ทำไมครับ?” นาวาทำหน้างงๆ

“เมื่อคืนมีระเบิดลอบสังหารเจ้าหญิง กับหญิงรับใช้…”

“หะ..ห๊าา! ทำไมผมไม่ได้ยิน ไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ!? แล้วงานพิธีจะเป็นยังไงละเนี่ย??”

ลุงเริ่มมีน้ำตาไหล “ก็คงเปลี่ยนจากงานรื่นเริงมาเป็นงานไว้ทุกข์สิ พ่อหนุ่ม… ลุงอยู่มาก็หลายปี ต้องร้องไห้กับการจากไปของพระราชินีก็แล้ว ตอนนี้ยังต้องร้องไห้กับพระธิดาอีก ฮึก ฮือ ใครมันช่างใจไม้ไส้ระกำทำกับเจ้าหญิงที่แสนดีได้ขนาดนี้กัน”

นาวาทำตัวไม่ถูก “อะ..เอ่อ ลุง.. ผมขอโทษนะครับ …ที่ถามอะไรไม่คิด ทำให้ลุงเสียใจ”

»»»

แถวคนที่ทางเดินสู่หอสมุดนั้นแออัดตั้งแต่จุดหน้าประตูเข้าวังที่นาวายืนอยู่ จนไปถึงอาคารรับรองหอสมุด และอาคารถัดจากอาคารรับรองที่เป็นอาคารขนส่ง มีแผงควบคุมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ระหว่างทางสองทางสู่หลอดแก้วขนส่ง มีทหารสองคนนั่งคุมแผงควบคุม

ที่หน้าหลอดแก้วขนส่งที่ 1 ครอบครัววิทีก้ากำลังเลือกจุดหมายปลายทางกับแท่นปุ่มปลายทาง ที่เป็นแท่นปุ่มที่มีหลายปุ่ม แต่ละปุ่มมีชื่อของแต่ละอาคารสลักอยู่

“งั้นผมกดปุ่มอาคารภูมิศาสตร์นะ พ่อ แม่” เสียงคาห์เนิร์ลดังหน้าแท่นปุ่ม *คลิก*

“เอ่อ— ถามแล้วกดเลยแบบนี้.. ไม่ต้องถามดีกว่านะคาห์น—” มิสซิสวิทีก้าพูด ก่อนเดินเข้าหลอดแก้วขนส่งเป็นคนสุดท้ายของครอบครัว

*ฟวิวว-วว* สายลมกดอัดเป็นเกลียวในหลอดขนส่ง แล้วดันครอบครัววิทีก้าตามหลอดแก้วขนส่งที่วางระบบไว้ทั่วทุกชั้นอาคารคล้ายๆ กับระบบช่องระบายอากาศ

ขณะเดียวกัน นาวาก็เดินอัดกับผู้คนเข้ามาในอาคารรับรอง

ด้านในมีผู้คนต่อแถวเป็นสองแถว มีหัวแถวอยู่ที่หลอดแก้วขนส่ง ในอาคารรับรองมีที่นั่งพับลงพื้นเหมือนที่สถานีคอนทิเนนทอล ที่กำแพงแต่ละด้านฉายคลิปวีดีโอแนะนำเกี่ยวกับอาคารต่างๆ ใน Library Complex

นาวาเดินเข้าไปต่อแถว แล้วรอจนกระทั่งมาอยู่หน้าหลอดขนส่งในอาคารขนส่ง

“ไม่เห็นจะมีปุ่มไปหอนาฬิกาเลย?” นาวาหันไปถามทหารที่คุมระบบสองคน หลังจากมองแท่นปุ่มทั่วดีแล้ว

“ต้องใช้บัตรทหารไอออสโชว์ให้แท่นปุ่มดู ถึงจะไปได้” ทหารคนหนึ่งตอบ “สำหรับเด็กๆ เลือกไปอาคารนิยายการ์ตูนเถอะ… เจ้าหนู รีบๆ กดไปซะ คนข้างหลังเขารอ”

นาวามองป้ายแผนที่ของ Library Complex ที่อยู่ใกล้ๆ กับแท่นปุ่ม แล้วเอ่ยกับทหารที่คุยด้วย “ไม่! ผมจะไปหอนาฬิกา”

*คลิก* นาวากดเลือกปลายทาง แล้ววิ่งเข้าไปในหลอดแก้ว ก่อนที่จะถูกพลังเอเลเมนท์ลมพาไปยังเป้าหมายนาวาได้หันมาตะโกนบอกทหารที่คุยด้วย “ขอบคุณครับน้า! ผมเลือกไปอาคารคณิตศาสตร์เพราะมันอยู่ใกล้หอนาฬิกาที่สุด!” *เฟียววว*

ทหารควบคุมระบบทำหน้างงๆ พลางชะโงกหน้าดูหลอดแก้วที่นาวาเข้าไป “อ้าวเฮ้ย!! ไอ้เด็กนี่มันลูกใครเนี่ย!? แสบจริงๆ”

»»»

สองชั่วโมงผ่านไป ดวงอาทิตย์บอกเวลาเที่ยงวันด้วยตำแหน่งที่ตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า

ที่ชั้น 6 ของอาคารภูมิศาสตร์

คาห์เนิร์ลกำลังสอดหนังสือกลับไปที่ชั้นกระจกใส ที่มีระบบเซนเซอร์คอยเชคว่าหนังสือนั้นสอดกลับเรียงถูกที่หรือไม่

“ถึงเป็นหอสมุดนูทรอลเลียก็ไม่มีเอ่ยถึงโลกนอกทวีปมิดมาเรียเลย …เฮ้อ คงต้องเป็นหนังสือที่อยู่ในหอนาฬิกาเท่านั้นสินะ” คาห์เนิร์ลบ่นด้วยความผิดหวัง ก่อนที่จะออกเดิน มีเป้าหมายอยู่ที่จุดนัดพบที่นัดพ่อ แม่ และน้องสาวไว้

อาคารภูมิศาสตร์มีตำแหน่งอยู่ที่ประมาณ 8 นาฬิกาของ Library Complex

“นั่นคงเป็นหอคอยองครักษ์… แล้วหอที่มีรูโบ๋นั่นคงเป็นหอนาฬิกา… ไม่มีส่วนของนาฬิกาเหลือรอดและแหะ..” คาร์เนิร์ลมองผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ที่ใหญ่และยาวเกือบเท่าผนัง แล้วเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างเพื่อมองลงด้านล่าง “ด้านล่างหน้าหอนาฬิกาไม่มีคนเลย สงสัยคนจะยังกลัวกันว่าหอจะถล่มลงมา… หืม..!? ..ไอ้เด็กผู้ชายที่เดินอยู่แถวๆ ซากปรักหักพังคนเดียวหน้าหอนาฬิกานั่นรูปร่างเหมือนนาวาเลยแหะ”

คาร์เนิร์ลเพ่งมองอยู่พักหนึ่ง แล้วบอกกับตัวเองเบาๆ “ไม่น่ะ..! หมอนั่นเกลียดการอ่านหนังสือจะตาย ป่านนี้คงกำลังเที่ยวอยู่ที่สวนสนุกละมั้ง… ว่าแต่…ไอ้เราก็ดันลืมขอเบอร์บ้านไว้ตอนแยกกันในรถไฟ เฮ้อ.. คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วละ…”

ที่ซากหักพังหน้าหอนาฬิกาด้านล่างที่ไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นเลย ไม่มีแม้แต่ทหารมาทำหน้าที่เก็บเศษสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ เพราะเมื่อคืนวานพวกทหารใช้เวลาทั้งคืนเก็บหนังสือเอเลเมนท์ที่ล่วงลงมาด้วยแรงระเบิด แล้วต้องออกไปทำหน้าที่ลาดตระเวนเพื่อความปลอดภัยของเมืองทันทีที่เก็บหนังสือหมด ซ้ำยังต้องลาดตระเวนหนักขึ้นเพื่อค้นหาตัวคนร้ายที่ทำร้ายทหารอิลลูชั่นนิสท์สามนายเมื่อคืนวาน พลันทำให้งานซ่อมหอนาฬิกาดูจะเป็นงานอะไรที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ววัน

“ชิ!! ไม่ยอมให้เราเข้าไปในหอ… จะหวงความรู้อะไรกันนักหนา” นาวาเดินบ่นอยู่แถวกองเศษซากหักพัง แล้วหันมองรอบๆ “ว่าแต่… ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย— งั้นผมขอเศษคริสตอลเล็กๆ น้อยๆ ไปอวดที่บ้านละกันนะคร้าบบ~ ถือว่าหายกันที่ไม่ยอมให้ผมเข้าหอนาฬิกาละกันนะ ขอบคุณคร้าบ~บ”

*กรอบ แกรบ* นาวาเดินขึ้นไปบนซากเศษคริสตอล เศษเหล็ก และเศษผนัง พลางมองหาหินที่แตกเป็นรูปสวยๆ เก็บมาเป็นของที่ระลึก

“เศษคริสตัลรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส— หืม.. ชิ้นนี้เป็นรูปสามเหลี่ยม…” นาวาเอ่ยพลางเก็บเศษคริสตอลใส่ในกระเป๋ากางเกง “อ๊ะ..!! หินชิ้นนี้นี่เป็นรูปตัว M เลย สวยด้วย แหมะ.. โลกนี้นี่อาร์ทดีจริงๆ  แม้แต่แรงระเบิดก็เป็นศิลปะได้… ว่าแล้วก็ขอก้อนนี้ด้วยเลยละกัน”

ขณะก้มลงคว้านหยิบหินก้อนที่มีรูปร่างคล้ายๆ ตัว M ในกองเศษต่างๆ นาวาก็ดึงสร้อยคอเส้นหนึ่งติดมาด้วย นาวาเห็นสร้อยก็เริ่มคิดในใจ “(นี่มันอะไรกัน? ทำไมมีสร้อยอยู่ในซากนี่ละ? สร้อยหิน— รูปทรงแปลกๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน… หรือว่า.. จะเป็นสร้อยของเจ้าหญิงที่สิ้นพระชนม์ไป!? … ไม่น่ะ..! ถ้ามันสำคัญขนาดนั้นก็คงมีทหาร มีคนออกมาตามหากันจ้าละหวั่นแล้วละ…คงเป็นแค่ของประดับกำแพง หรือไม่ก็…)”

“จะเป็นสร้อยอะไรก็แล้วแต่… ขอผมละกันนะคร้าบ~บ” แล้วนาวาก็ทำท่าจะเก็บสร้อยเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

“เดี๋ยวก่อน!!” เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลังนาวา

นาวาหันหน้าไปมอง เห็นเป็นผู้หญิงใส่หมวกสีน้ำตาลครอบทั้งหัว ใส่แว่นดำ สวมเสื้อกั๊กสีน้ำตาลทับเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีขาว ถุงเท้าขาวยาวขึ้นมาทับกางเกงขายาวจนเกือบถึงเข่า และสวมรองเท้าผู้หญิงสีน้ำตาล แลดูคล้ายๆ การแต่งกายของเด็กผู้ชายช่วงสมัยระหว่างยุคดนตรีคลาสสิคกับโรแมนติค (Classical & Romantic Periods)

“สร้อยหินทรงกลมนั่นเป็นสมบัติของเจ้าหญิงเอมิลีแห่งอาณาจักรมิดมาเรีย คืนสร้อยนั่นมาซะ!!” หญิงแว่นดำส่งเสียงดัง

นาวาทำหน้างงๆ แล้วชูสร้อยให้หญิงคนนั้นดู “อะ..เอ่อ.. สร้อยนี่ไม่ได้มีรูปเป็นทรงกลมนะ เข้าใจผิดแล้วมั้ง”

“นั่นมัน… รูปกุญแจซอล นิ..! อะ..เอ่อ นะ..นั่นแหละ! คืนสร้อยกุญแจซอลมาซะ มันเป็นสมบัติของนูทรอลเลีย ก่อนที่เจ้าจะถูกลงโทษ!”

“นาย.. อะ เอ่อ” นาวาไม่ค่อยได้พูดคุยกับเพื่อนหญิง เลยไม่รู้จะใช้คำอะไรเรียกเด็กผู้หญิงที่คุยอยู่ตรงหน้า “จะ..เจ้า.. เจ้านี่มีพิรุธนะ— ตอนแรกบอกขอสร้อยทรงกลม— พอข้าโชว์สร้อยกุญแจซอลก็จะเอาอีก.. เจ้าเป็นใครเนี่ย? หรือว่าเป็นขโมย!?”

“ฉัน…เอ่อ ขะ..ข้าเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเจ้าหญิงเอมิลี มีนามว่าลูเซีย” เด็กหญิงในแว่นดำตอบแบบติดๆ ขัดๆ

“เจ้าน่ะรึ!?” นาวามองหญิงแว่นดำหัวจรดเท้า “ดูรูปร่าง ส่วนสูง น้ำเสียงแล้ว เหมือนเจ้ามีอายุเท่าๆ ข้า จะเป็นองครักษ์ได้ยังไง!? แล้วข้าได้ยินมาว่า เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ที่นี่— ตรงนี้.. ถ้าเจ้าเป็นองครักษ์ของเจ้าหญิงจริงๆ ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้แย่มากถึงแย่ที่สุด”

“นะ..นี่เจ้า!! กล้าดียังไงมาต่อว่าข้า!? ส่งสร้อยนั่นมาเดี๋ยวนี้นะ!!”

*ซุบ* นาวาเก็บสร้อยคอกุญแจซอลใส่ในกระเป๋ากางเกง “อะฮ้า! เถียงไม่ได้ละสิ— ข้าว่าเจ้าน่ะ… เข้าข่ายคนแปลกหน้าผู้น่าสงสัยแบบเต็มๆ  …ข้าจะไม่ยอมให้สมบัติของอาณาจักรมิดมาเรียตกอยู่ในมือของคนแปลกหน้าอย่างเจ้าหรอก!”

“นี่เจ้า!! ข้าเป็นถึงองครักษ์เชียวนะ!!” หญิงแว่นดำขึ้นเสียง

“องครักษ์อะไรใส่แว่นดำ พูดจากลับไปกลับมา ทำตัวน่าสงสัย อาวุธก็ไม่มี… ถ้าเป็นองครักษ์จริงๆ ก็ต้องมีพลังเอเลเมนท์สิ… เอางี้..! ถ้าเจ้าโชว์พลังให้ข้าดู ข้าจะยอมเชื่อแล้วคืนสร้อยนี้ให้” *กรอบ แกรบ* เสียงนาวาเริ่มเดินลงมาจากซากปรักหักพัง

“ได้!! แล้วจะได้เห็นดีกัน!” หญิงแว่นดำเอ่ยอย่างมั่นใจ “รีลีซ!!”

“..!” นาวาหันมามอง แล้วทำหน้าเซอร์ไพรส์

หญิงแว่นดำพอเห็นสีหน้าของนาวา ก็กร่างด้วยความมั่นใจ “เป็นไงล่ะ!! เห็นพลังของข้าแล้วก็ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก หุหุหุ”

“เอ่อ.. ที่ตกใจเพราะว่า มันไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลย… เจ้านี่น่าจะไปได้ดีกับเพื่อนข้าที่ชื่อคาห์นนะ พอๆ กันเลย ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”

หญิงแว่นดำยกฝ่ามือทั้งสองข้างมามองดูอย่างร้อนๆ รนๆ  “ทะ..ทำไม!? ทำไมถึงไม่มีพลังออกมา!? ทำไมกัน!?”

“หึหึหึ” นาวาหัวเราะ “ไม่ต้องมาทำเป็นแสดงละครเลย …ข้ารู้ไต๋เจ้าหน่า.. เจ้าจะเอาสร้อยไปขายใช่ไหมล่ะ? แต่เสียใจด้วยนะที่สร้อยกุญแจซอลอะไรนี่… ตกอยู่ในมือของข้า นักรบผู้ปกป้องมิดมาเรีย หึหึหึ”

“นะ.. นี่เจ้า!? เจ้าเป็นนักรบ!? เจ้ามีพลังเอเลเมนท์ด้วยเหรอเนี่ย..??”

นาวาหันหลังให้หญิงแว่นดำ แล้วก้าวเท้าออกเดิน “ทำไมข้าจะต้องบอกข้อมูลของข้าให้กับคนสิบแปดมงกุฏอย่างเจ้าด้วย?”

“ข้าไม่ใช่สิบแปดมงกุฏนะ!!” หญิงแว่นดำเถียงนาวา พลางเดินตามมาข้างหลัง

“อ้อ— ก็ได้ ก็ได้ … เจ้าไม่ใช่สิบแปดมงกุฏก็ได้— เจ้าแค่หลอกข้าว่าเป็นองครักษ์ แต่กลับไม่มีแม้แต่พลังเอเลเมนท์ หึหึหึ”

“หึย!! ก็ได้!! ข้าเป็นสิบแปดมงกุฏก็ได้! ข้ามันขี้โกหก เป็นโจร น่าสงสัย เป็นคนแปลกหน้า จะว่าอะไรข้าก็เชิญเลย …แต่ข้าขอร้องละนะ ขอสร้อยคืนให้ข้าเถอะ มันสำคัญกับข้ามาก… ได้โปรด— คุณนักรบ”

นาวาได้ยินคำอ้อนวอนก็หยุดเดิน แล้วหันมามองหญิงแว่นดำที่เดินตามอยู่ข้างหลัง “ก็ได้! ข้าให้สร้อยนี้กับเจ้าก็ได้” แล้วนาวาก็เริ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่… มีข้อแม้นะ—”