ตอนที่ 3 หนึ่งคืนในนคร Neutralia

by thesolfaith

▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓▓

ท้องฟ้าแทบจะดำสนิท มืดมนเหมือนดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวเคราะห์หมดไฟ

*ครืนน* เสียงฝนตกหนัก ดังเหมือนมีคนเอากลองทิมปานี (Timpani) ร้อยตัวมารัวพร้อมกัน

*หวูว หวูว* เสียงลมพัดโหยหวยชวนขนหัวลุก

แฮ่ก แฮ่ก ฉ.. ฉันอยู่ที่ไหน!?”

ทันใดนั้นก็มีเสียงหอนของสัตว์ประหลาดดังมาตามสายลม เสียงร้องน่ากลัว ขนาดที่แค่ได้ยินก็เหมือนกับถูกรัดคอ คล้ายมีสัตว์ร้ายหลงเข้าไปในปอด แล้วกรีดอวัยวะภายในด้วยเล็บคมๆ

“ทะ ที่นี่มันที่ไหน!?”

*ครืนนน ครืนนน* ด้านหลังเป็นซากปรักหักพังของบ้านเรือนที่ถูกทำลายแล้วเผาทิ้ง ด้านหน้าเป็นหาดทรายกับทะเลสีแดงดำสุดลูกหูลูกตา มีสายฟ้าผ่ากลางสายฝนเป็นระยะๆ บนฟ้าเหนือทะเลกว้างเห็นเงาไกลๆ เหมือนฝูงนกอีกากำลังบินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเห็นรูปร่างเป็นคนมีปีก ยิ่งใกล้เสียงกรีดร้องก็ยิ่งดังขึ้น

“ม.. ไม่นะ! —อย่าเข้ามา.. ไม่..! ไม่!!”

*เพล้ง*

เด็กผู้หญิงผิวขาวฝรั่งผมบลอนด์คนหนึ่ง ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ตัวสั่นเทา หายใจแรงเหมือนคนเป็นหอบ มือขวากุมหน้าออกแน่น มือซ้ายกำผ้าห่มแน่นที่สุดเท่าที่มือของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้

ห้องนอนเป็นห้องเพดานสูงมีผนังและเพดานสีขาวบริสุทธิ์

พื้นปูด้วยพรมสีน้ำตาลอ่อนๆ มีลายสีเนื้ออ่อนๆ ดัดกับสีพรม ลวดลายเหมือนเป็นเส้นใยของใบไม้ มองดูแล้วเหมือนศิลปะบนกาแฟราคาแพง (Coffee Art)

ส่วนผนังด้านหลังเตียงเป็นสีเนื้ออ่อนๆ เช่นเดียวกับสีลายพรม เตียงเป็นเตียงหลังคาสี่เสาสีน้ำตาลดำ มีเก้าอี้สองตัวหน้าเตียง หันหน้าเข้าหาโต๊ะกาแฟที่มีกรอบรูปตั้งอยู่ ที่หัวเตียงสองข้างมีโต๊ะลิ้นชักสีเดียวกับตัวเตียง มีโคมไฟสีดำตั้งบนโต๊ะทั้งสอง มีรูปติดผนังด้านหลังเตียงเรียงสวยงาม

*แอ๊ด* เสียงประตูบานคู่ถูกผลักเปิดออก แล้วมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเรื่อยๆ *ตึก ตึก ตึก*

“องค์หญิง!! เกิดอะไรขึ้นเพคะ องค์หญิง” เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งผ่านประตูเข้ามาร้องถามอย่างหน้าตาตื่น

แฮ่ก แฮ่ก เจนา… ฉันขอโทษนะ ฉันละเมอไปปัดแก้วน้ำบนโต๊ะที่หัวเตียง” เจ้าหญิงผมบลอนด์ขอโทษเจนาเรีย พลางขยับขาสองข้างออกจากผ้าห่ม ที่จัดเหมือนผ้าห่มเตียงโรงแรม

เจนาเรีย (Janeria) ก็เป็นฝรั่งผิวขาว มีผมสีออกแดงยาวแต่มัดรวบไว้หลังหัว มีกระบนหน้าเล็กน้อย ใส่ชุดกระโปรงบานสีน้ำตาลอ่อน มีลวดลายและรูปทรงเหมือนชุดสมัยเรเนซองส์ (Renaissance)

“องค์หญิงอย่าเพิ่งลงมาจากเตียงนะเพคะ” เจนาเรียยกประโปรงเรเนซองส์ด้วยสองมือ แล้วรีบวิ่งไปที่โต๊ะหัวเตียงที่มีเศษแก้วแตก

เจ้าหญิงในชุดนอนโปร่งสีฟ้าเนื้อผ้าดีถอดสร้อยคอออกมาวางบนฝ่ามือขวา แล้วเพ่งมองที่สร้อยคอ พร้อมกับครุ่นคิดอะไรสักอย่าง

“…โซลสโตน (SolStone)” เจนาเรียเอ่ย เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าหญิง “โซลสโตนที่นักรบยอห์นท่านให้มาทำให้องค์หญิงฝันร้ายอีกแล้วหรือเพคะ?”

เจ้าหญิงก้าวลงจากเตียงแล้วก้มลงข้างๆ เจนาเรีย “ให้ฉันช่วยนะเจนา”

“อย่าเพคะองค์หญิง..!” เจนาเรียรีบตอบ “ถ้าองค์หญิงถูกแก้วบาดไป ท่านองครักษ์สเวนเซอร์ (Swenzer) ต้องไล่เจนออกแน่ๆ”

เจ้าหญิงเมื่อได้ฟังเจนาเรียพูดก็ลุกขึ้นยืนทำสีหน้าน้อยใจเล็กน้อย แล้วเดินไปเปิดม่านสีทอง

หลังม่านเป็นประตูกระจกคู่บานเปิดสู่ระเบียง ด้านข้างสองด้านของประตูมีเสาโรมันสีขาว ระเบียงภายนอกเป็นระเบียงครึ่งวงกลมล้อมด้วยราวระเบียงลายโรมันเข้ากับเสาข้างหน้าต่าง

“ทำนั่นก็ห้าม ทำนี่ก็ห้าม เกิดเป็นเจ้าหญิงของมิดมาเรียนี่— ไม่มีอิสระจะทำอะไรเลยนะ ไม่ต่างจากประชาชนมิดมาเรียเลยสักนิด”

“องค์หญิง อย่าทรงพูดอะไรแบบนั้นสิเพคะ… หม่อมฉันขอตัวเอาเศษแก้วไปทิ้งก่อนนะเพคะ นี่ก็เพิ่งห้าทุ่มกว่าๆ เดี๋ยวหม่อมฉันจะเอานมอุ่นๆ แก้วใหม่มาให้นะเพคะ”

เจ้าหญิงที่อยู่นอกระเบียงเอาแขนสองข้างเทินที่ราวระเบียง พลางมองดูตัวเมืองนูทรอลเลียด้านล่างที่ส่องแสงสว่างไสวยามค่ำคืน  เห็นเงาผู้คนมากมายเหมือนฝูงมดในทำงานอยู่ในรัง

ผมสีบลอนด์ยาวสลวยของเจ้าหญิงไหวตามลม

“เจนา!” เจ้าหญิงเรียกเจนาเรีย

“เพคะ?”

เจ้าหญิงเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วเอาเท้าสองข้างสวมรองเท้าสีฟ้าที่เหมือนทำด้วยสำลีบางๆที่อยู่หน้าเตียง เสร็จแล้วก็หันมาจ้องตาเจนาเรีย “โซลสโตนแสดงความทรงจำของท่านยอห์นให้ฉันเห็น… ..เจนา— เธอไปหอสมุดกับฉันนะ”

“ไม่นะเพคะองค์หญิง ถึงจะเป็นองค์หญิงก็เถอะ หลังสองทุ่มแล้วมันเป็นเขตหวงห้ามนะเพคะ มืดก็มืด องครักษ์ก็ไม่มีเฝ้า”

เจ้าหญิงเดินผ่านเจนาเรียมุ่งหน้าสู่ประตูสู่โถงทางเดิน “เจนา— ถ้าเธอไม่ไปกับฉันละก็ ฉันจะบอกสเวนเซอร์ ว่าเธอทำแจกันจากอาณาจักรครีอุส (Crius Kingdom) ที่เคยอยู่ในห้องโถงแตก”

—»»»»—

“*โซล♪ โซล♪ โซล♪ โซล♪ ลา♪ ลา♪—* ทางเดอะคอนทิเนนทอล ขอขอบคุณท่านผู้มีอุปการคุณทุกท่านที่ใช้บริการรถไฟสายนิสทรัม ขณะนี้เราเดินถึงมาถึงสถานีปลายทางเวสท์นูทรอลเลีย (West Neutralia) ทางเราขอขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการเดอะคอนทิแนนทอลค่ะ”

“นูทรอลเลีย!!!” นาวาวิ่งลากกระเป๋าเดินทางออกจากรถไฟ ก่อนผู้คนมากมายจะตามกรูกันออกมา

มิสเตอร์นาร์สทวิ่งตามมาติดๆ “นาวา..! อย่าวิ่ง! เดี๋ยวหลง!”

เสียงคอมพิวเตอร์เคลโมเรียนดังขึ้นอีกครั้ง “*โซล♪ โซล♪ โซล♪ โซล♪ ลา♪ ลา♪—* ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เมืองหลวงนูทรอลเลีย มหานครแห่งสันติ ขณะนี้เวลา 23:30 นาฬิกา ชาวเมโมเรียน (MeMoRian) สามารถออกจากสถานีทางประตู A ส่วนทหารไอออส (Incorporation of Sovereignties) (สหพันธ์อธิปไตย) สามารถออกจากเคโมสเฟียที่ประตู B”

*หมับ* มิสเตอร์นาร์สทคว้าแขนของนาวา “ไปประตู A ไม่ใช่ B ..! ชาวเมโมเรียนก็หมายถึงพวกเรา ส่วนทหารไอออส หมายถึงนักรบต่างทวีป”

“ผมรู้หน่า เพื่อนที่ผมเจอบนรถไฟสอนผมแล้วละ” นาวาเริ่มมองหาคาห์เนิร์ลที่ออกมาคนละโบกี้รถ แต่ไม่เจอเพราะมีผู้คนมากมายถึงขนาดที่นาวาเองก็ไม่เคยเห็นผู้คนเยอะขนาดนี้มาก่อน

—░▒▒▓—

นูทรอลเลียเป็นมหานครใหญ่ มีถนนใหญ่กว้างปูด้วยหินสีเทาๆ เรียงเรียบกัน ถนนนั้นตัดจากประตูเมืองทิศตะวันออกจนถึงประตูทิศตะวันตก จากพระราชวังทางทิศเหนือสุดของเมืองจนถึงสวนสนุกทางทิศใต้ ตัดเป็นเครื่องหมายบวก ที่ใจของเครื่องหมายบวก หรือใจกลางเมืองนั้น มีลานน้ำพุตั้งอยู่

ถนนใหญ่เครื่องหมายบวกนี้มีชื่อว่า Processional Way (ชื่อถนนสำหรับให้กองทัพเดินเข้าเมืองหลังทำศึกในยุคยุโรปโบราณ)

มีผู้คนตั้งแผงขายของตามริมถนนเรียงสุดตา มีลูกแก้ว Yellow Stone ลอยอยู่ตามสองข้างทางฉายแสงไฟนวลๆ ให้กับถนน ผู้คนแออัดส่งเสียงซื้อขายของกันให้แซ่ด

เวลา 23:40 นาฬิกา ณ ซอยเปลี่ยวมืดๆ ระหว่างบ้านทรงแปลกตาซอยหนึ่งที่ตั้งอยู่แถวประตูเข้าเมืองทิศตะวันตกเวสท์เกท (West Gate) มีชายสามคนสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า กำลังจับกลุ่มวางแผนอะไรสักอย่างอยู่

“พวกเราได้เจาะกำแพงด้านหลังหอสมุดเป็นทางให้คุณหนูลอบเข้าไปในวังในวันงานพิธีเรียบร้อยแล้วครับ… ธีอา (Thir) ใช้คาถาพลางตาปิดรูที่กำแพงไว้” ชายเสื้อคลุมคนหนึ่งเอ่ยขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ชายที่เขาเรียกว่า คุณหนู

“ดีมาก” ชายที่ถูกเรียกว่าคุณหนูตอบด้วยเสียงที่ยังไม่แตกหนุ่ม

แล้วชายในเสื้อคลุมอีกคนหนึ่งก็เริ่มต้นพูด “ในวันงาน พวกเราสองคนจะพยายามกันสเวนเซอร์กับทหารองครักษ์ไว้ …คุณหนูต้องลอบเข้าไปขโมยเดอะโซลเฟธ (The SolFaith) ให้ได้ …หลังจากงานเลิก ทันทีที่พระราชาสั่งอนุญาติให้เรือเหาะออกจากเมืองได้ ให้เรามาเจอกันตรงจุดนี้นะครับ”

“รู้แล้วหน่า จะต้องย้ำอีกกี่รอบกัน” คุณหนูตอบอย่างหงุดหงิด

“เราจะล้มเหลวไม่ได้นะคุณหนู ไม่งั้นคุณพ่อของคุณหนูจะต้องหลุดจากการเป็นผู้นำสาธารณรัฐ (Republic) พวกเราทุกคนจะต้องถูกริบพลังเอเลเมนท์ (Element) (ธาตุ) แล้วกลายเป็นคนธรรมดา”

“ไม่ต้องห่วงหรอก… แอร์ (Er) ..ธีอา ข้าไม่มีวันพลาดหรอก ยุคของอธิปไตยไอออสมันจบแล้ว หึหึ”

_↓↓↓_

ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฝั่งของบ้านหลังที่ชายในเสื้อคลุมมาแอบคุยกัน “โอ้ยย… จะหายใจไม่ออก… เมืองหลวงคนจะเยอะไปไหนเนี่ย.. คนเยอะจนมองไม่เห็นบ้านเห็นเมืองเลย… ดีนะ— มาเจอซอยนี้ที่ไม่มีคน… ..เฮ้อ.. ได้หายใจหายคอสะดวกสักที”

‾↑↑↑‾

“ชิ! มีคนมาได้ยินแผนของเราจนได้ ให้ข้าเก็บมันเอง ‘รีลีซ!’ (Release) (ปลดปล่อย) (ร่ายคาถา)”

*ฟวูววว* ในทันใด ก็มีลมพัดเป็นเกลียวหลายเกลียวรอบตัวคุณหนูในเสื้อคลุ่ม ร่างของคุณหนูเริ่มลอยขึ้น

“อย่า!! คุณหนู.. ฆ่าเมโมเรียนโทษหนัก อาจทำให้แผนเราพังได้ มันเป็นแค่เด็กธรรมดา แถมพูดจาเหมือนไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ถึงมันได้ยินที่เราพูดกันก็คงไม่เข้าใจหรอก”

_↓↓↓_

“นาวา.. มาทางนี้..! อย่าไปที่เปลี่ยว มันอันตราย แล้วเดี๋ยวจะหลงกันด้วย” เสียงดังมาจากอีกฝั่ง

“ครับพ่อ!!”

‾↑↑↑‾

*ฟวูว* สายลมที่ถูกบีบอัดเริ่มคลาย เท้าของคุณหนูเสื้อคลุมค่อยๆ กลับลงมาแตะที่พื้น

“แอร์ ธีอา ข้าจะออกไปพักนอกเมือง แล้วเจอกันจุดนี้วันงานพิธีมะรืนนี้ หนึ่งชั่วโมงก่อนงานเริ่มละกัน” ว่าแล้วคุณหนูเสื้อคลุมก็เดินจากไป

ชายเสื้อคลุมยาวสองคนมองคุณหนูของเขาเดินหายไปในความมืด

“อายุเพียงแค่ 12 ปี แต่สามารถคุมพลังเอเลเมนท์ได้ขนาดนี้ สมกับเป็นทายาทเมจิคัส (Magicus) จริงๆ” ชายเสื้อคลุมคนหนึ่งพูด

ชายอีกคนตอบ “คุณหนูยังต้องพัฒนาเรื่องการตัดสินใจและอารมณ์อีกมาก… ธีอา— ถ้าเราไม่บอกคุณหนู ไม่ให้ลงมือกับเด็กเมโมเรียนนั่น ตอนนี้เราสามคนคงโดนสเวนเซอร์ไล่ล่าแล้วละ… องครักษ์ลาดตระเวนเต็มเมืองแบบนี้… รีบไปเถอะ ก่อนจะโดนสงสัย”