ตอนที่ 1 มิดมาเรีย

by thesolfaith

“ทวีปมิดมาเรีย(Mid-Maria)ที่เราอาศัยอยู่ เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ตรงเส้นศูนย์สูตร มีอาณาเขตเป็นดินแดนรอบๆเส้นศูนย์สูตรทั้งหมด”

เสียงของคุณครูจากหน้าชั้นเรียน ในวันที่อากาศร้อนชวนให้ง่วงนอนกลางวัน คุณครูเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30 กว่าปี ถือไม้เรียวชี้ไปที่แผนที่ที่วาดบนกระดานดำ

“เราจะเห็นว่าเมืองเอเลฟธีเรีย(Eleftheria)ของเราเป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปมิดมาเรียตะวันตก หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทวีปนิสทรัม (Nystrum)”

Mid-Maria Continent

Mid-Maria Continent

*เป๊ะ เป๊ะ* เสียงคุณครูเคาะโต๊ะไม้ด้วยไม้เรียว “มีนักเรียนคนไหนมีคำถามไหมคะ?”

อาคารเรียนเป็นตึก 4 ชั้นเพิ่งสร้างไม่นาน ฉาบปูน ทาสีขาว แต่ด้วยน้ำมือของเหล่าเด็กนักเรียนทำให้ตึกนี้ไม่ขาวนัก หน้าต่างไม้ทุกบานถูกเปิดออก มีพัดลมเพดานสี่ตัวคอยช่วยชีวิตนักเรียนจากความร้อน

*ควับ* เด็กชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้าขวามือของคุณครูยกมือขึ้นอย่างแข็งขัน

คุณครูเมื่อเห็นนักเรียนยกมือด้วยความกระตือรือร้น ก็แอบยิ้มอย่างภูมิใจ “ว่าไงเด็กชายนาวา มีข้อสงสัยอะไรคะ?”

“ผมคงต้องขอลากิจตั้งแต่ตอนนี้ จนถึงวันศุกร์ครับ 3 วันครึ่ง เพราะผมกับพ่อได้เป็นตัวแทนของเมืองเรา ให้ไปร่วมพิธีหมั้นของเจ้าหญิงที่เมืองหลวงครับ” นาวาพูด แล้วเริ่มเก็บหนังสือใส่ในกระเป๋าหนังสีดำใบเก่าๆ

*แซ่ด แซ่ด* เสียงฮือฮาในห้องเรียนเริ่มดังขึ้น ในชั้นนี้มีนักเรียน 40 กว่าคน แต่มีเพียงไม่กี่คนที่มีฐานะพอที่จะเคยเดินทางไปต่างเมือง นักเรียนต่างพูดถามกันเรื่องเมืองหลวง บ้างก็เอ่ยพ้อเสียงดัง “นาวาโชคดีจนน่าอิจฉาว่ะ!”

*เป๊ะ เป๊ะ* “นักเรียนทุกคน เงียบ!!”

นักเรียนทุกคนหยุดพูดคุยและหันมามองคุณครูที่เริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย

*ต๊อก ต๊อก ต๊อก* เสียงรองเท้ามีส้นของคุณครูเคาะกับพื้นปูนขณะเดินไปตรงหน้านาวา “นาวา เขียนจดหมายลากิจมาตามระเบียบด้วย แล้วทีหลังก็ส่งจดหมายมาก่อนล่วงหน้า ไม่ใช่มาบอกตอนจะไป เข้าใจไหม!?”

“ครับ!!” นาวายิ้มรับคำสั่งแล้วคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

ขณะที่นาวาเดินออกจากห้องเรียน คุณครูได้หันกลับไปเอาไม้เรียวชี้บนกระดานดำแล้วเริ่มสอนต่อ

“อาณาจักรมิดมาเรียประกอบด้วย นิสทรัม (ทวีปมิดมาเรียตะวันตก), ไมเร (Mire) (ทวีปมิดมาเรียตะวันออก), และเมืองหลวงนูทรอลเลีย (Neutralia) แต่ละนครต่างปกครองตนเองด้วยระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขประทับที่ราชวังแอมิที (Amity) มีรถไฟระหว่างทวีปคอนทิเนนทอลเทรน (Continental trian) และรถรางเป็นการเดินทางหลัก…”

—♠♣♥♦—

นาวา (Nava) เป็นเด็กชายอายุ 12 ปี สูงกำลังพอดี ค่อนข้างผอม เพราะนครเอเลฟธีเรียอยู่ในเขตร้อน นาวาจึงมีลักษณะเหมือนคนสัญชาติไทยแท้ แต่ผิวไม่คล้ำมาก จะคล้ำบ้างก็เพราะนาวาต้องเดินกลับบ้านทุกวัน โดยบ้านของนาวานั้นห่างจากโรงเรียนประมาณ 4 กิโลเมตร เมืองที่นาวาอยู่นี้มีทาวน์เซนเตอร์ (Town Center) เป็นตลาดและสถานีรถรางอยู่ระหว่างบ้านของนาวากับโรงเรียน

☼แสงแดดแผดเผาอย่างร้อนแรง ขณะนี้เวลาบ่ายสองครึ่ง นาวาต้องเดินผ่านตลาดและวัด ขณะที่กำลังเดินผ่านวัดนั้นนาวาเหลือบไปเห็นเพื่อนของเขาคนหนึ่ง

ซีรีฟ! (Siriv)” นาวาเรียกขณะเดินเข้าไปหาเด็กชายคนนั้น “ซีรีฟ ทำไมมาอยู่ที่นี่ ไม่ไปโรงเรียนล่ะ”

ซีรีฟไม่เอ่ยปากตอบ เพียงแต่ก้มหน้าลงมองที่พื้น

นาวามองไปด้านหลังซีรีฟเห็นคนกำลังจัดพิธีงานศพ และเห็นรูปพ่อของซีรีฟที่นาวาเคยเจอครั้งหนึ่ง “เอ่อ… ขอโทษ เราเสียใจด้วยนะเพื่อน… ..มา! ให้เราช่วยยกของละกัน”

—♠♣♥♦—

ที่บ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง ที่ดินรอบข้างถูกปล่อยให้หญ้าขึ้นรกรุงรัง มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ

“ทำไมมันยังไม่มาอีกนะ! นี่มันบ่ายสามกว่าแล้ว ถ้าไปถึงนูทรอลเลียดึกจะไม่มีเวลานอนเอา” มิสเตอร์นาร์สท(Mr. Narst)บ่นด้วยความไม่พอใจ

“พ่อ..อ..อ!!” เสียงนาวาดังมาแต่ไกล “แฮ่ก แฮ่ก ผมรู้ๆ ไว้ด่าผมทีหลังละกัน ขอผมไปอาบน้ำเก็บของก่อนแล้วจะมาให้ด่าครับ”

“เฮ้อ.. ใครเป็นคนสอนให้มันเป็นคนไม่ตรงต่อเวลานะ” มิสเตอร์นาสร์ทถอนใจ

—♠♣♥♦—

นาวาและพ่อเดินไปขึ้นรถรางที่สถานีในตลาดที่วันนี้ดูมีผู้คนมาใช้บริการเดอะคอททิเนนทอล(The Continental)มากเป็นพิเศษ

“พ่อ! ดูสิ! มีแต่คนแต่งตัวแพงๆ คนรวยๆพวกนี้คงตั้งใจจะไปกินเลี้ยงในงานพิธีที่นูทรอลเลีย” นาวาพูดพลางเข็นกระเป๋าเดินทางขึ้นรถราง

รถรางเป็นเหมือนกล่องกระจกใสใหญ่ประมาณรถโดยสารประจำทาง มีที่นั่งนุ่มนวล และห้องน้ำท้ายรถที่หรูกว่าห้องน้ำบ้านนาวามาก

“ว้าวๆ! รถรางหรูที่ได้แต่มองตอนเดินกลับบ้าน พอได้มาอยู่ข้างในแล้ว ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนรวยๆชอบนั่ง พวกคนเห็นแก่ตัวพวกนี้น่ะ”

“นาวา!! ระวังคำพูดหน่อย อย่าตัดสินคนอื่น มันไม่ดี” มิสเตอร์นาร์สทดุ

รถรางเป็นระบบขนส่งจากเมืองเล็กสู่เมืองใหญ่ที่มีสถานีรถไฟ รถรางเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 543 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  ขับเคลื่อนโดยพลังงานคริสตอลสีเหลือง (Yellow Crystal Energy) เชื่อว่าระบบรถรางและรถไฟ หรือที่รวมกันแล้วเรียกกันว่าเดอะคอนทิเนนทอลนั้น สร้างขึ้นโดยคนจากต่างทวีปที่มีเทคโนโลนีล้ำหน้ากว่ามิดมาเรียมากๆ

จากการปรากฎตัวของสัตว์ประหลาดมอนสเตอร์(Monster)เมื่อ 19 ปีก่อน ทำให้ชาวต่างทวีปสร้างระบบเดอะคอนทิเนนทอลให้ชาวมิดมาเรียเดินทางสื่อสารต่างเมืองได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งสร้างเกราะกำแพงบาเรียใสๆที่เรียกว่าเคโมสเฟีย(Chemosphere)คลุมครอบแต่ละเมืองเพื่อปกป้องตัวเมืองจากมอนสเตอร์

สำหรับผู้คนธรรมดาแล้ว ทางเดียวที่จะออกจากเมืองได้คือการใช้บริการเดอะคอนทิเนนทอล ทำให้คนส่วนใหญ่ ทั้งนาวาเองและเพื่อนๆ ที่โรงเรียนไม่เคยได้มีโอกาสเห็นโลกภายนอกเมืองเลย

“พ่อ! ผมเห็นคนใช้ดาบต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่เหมือนหนอนตัวใหญ่ๆอยู่ตรงนั้น” นาวาเรียกพ่อให้หันมาดูทิวทัศน์ขณะที่รถรางเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า “ผมเองก็อยากจะได้ผจญภัยแบบเขาบ้าง อยากออกจากกำแพงเคโมสบ้าง แต่ดันเกิดมาเป็นชาวมิดมาเรียที่ไม่มีความสามารถพิเศษอะไร— เฮ้อ… ทำไมเราถึงไม่มีอิสระนะ ทั้งๆ ที่มิดมาเรียเองก็เป็นประชาธิปไตย”

มิสเตอร์นาร์สท พ่อของนาวาที่กำลังอ่านหนังสือผ่านแว่นตาเก่าๆ เอ่ยปากสอนลูกชาย “บางสิ่งนะนาวา.. มันมีขึ้นก็เพราะความปลอดภัยของส่วนรวม— …กฎเกณฑ์ก็เช่นกัน มันมีไว้เพื่อปกป้องผู้คน แม้อาจจะไม่ถูกใจใครบ้าง แต่มันก็มีเหตุผล… คนธรรมดาอย่างเราๆ จะมีความสามารถไปสู้กับมอนสเตอร์แบบคนนอกทวีปนั้นก็เป็นไปไม่ได้”

—♠♣♥♦—

รถรางใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงสถานีรถไฟเวสเทอร์นคอนทิเนนทอล (Western Continental) ระหว่างทางนาวาได้เห็นภาพที่เขาเฝ้าฝันมาทั้งชีวิต เมืองแปลกตา ทุ่งกว้าง มีพันธุ์ไม้งดงามตลอดทาง ได้เห็นทั้งมอนสเตอร์หนอน แมลง พืช ทั้งนักรบต่างทวีปต่อสู้ด้วยเวทย์มนต์ ดาบ ธนู —เหมือนความรู้สึกนั้นเอ่อล้นท่วมร่างกายและจิตใจของเด็กชายคนหนึ่ง —เหมือนสิ่งที่เขาเห็นอยู่คือสัญลักษณ์ของคำว่า ‘อิสรภาพ’ …สิ่งที่เพียงแค่คนที่มีเงินกับคนที่เกิดต่างทวีป ได้มีโอกาสนำมาดื่มชื่นชม

“ขอบคุณครับพ่อ— ขอบคุณที่ได้เป็นพลเมืองดีเด่น ผมถึงได้มีโอกาสออกมาเห็นโลกกว้างแบบนี้ …ถ้าผมมีเงินบ้าง ผมอยากจะพาเพื่อนๆที่ไม่มีโอกาสออกมาแบบนี้บ้าง … พอลองนึกดู— ผมกับเพื่อนดีใจเนื้อเต้นทุกครั้งที่มอนสเตอร์เดินมาริมกำแพงเคโมสให้พวกเรานั่งมอง —และทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับคนต่างทวีปที่เข้ามาในเมือง ได้ฟังเรื่องราวจากพวกเขาทำให้ตาของพวกเราพวกเราโตจนแทบจะหลุดจากเบ้า… —ได้แต่ฝันกลางวัน … ถึงอิสรภาพ …ถึงโลกภายนอก… พอได้มาเห็นเองแล้ว มันคุ้มค่ากับการเกิดมาจริงๆ” นาวาพูดทั้งน้ำตา